วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตำนาน 15 ปี ปอร์เช่ บ็อกซเตอร์

โลดแล่น ไปบนถนนทั่วโลกมาแล้วกว่า 15 ปี กับ สุดยอดรถสปอร์ตอย่าง ปอร์เช่ บนบ็อกซเตอร์ (Boxster) 
ได้เวลาอันสมควรแล้วแก่การเฉลิมฉลองการครบรอบ 15 ปี ที่ปอร์เช่ บ็อกซเตอร์ (Boxster) ที่ได้รับการผลิตขึ้นมา อีกทั้งยังมียอดการผลิตกว่า 300,000 คัน เมื่อรวมกับรุ่นเคย์แมน (Cayman) ซึ่งเป็นรุ่นที่เปรียบเสมือนพี่น้องกันเลยทีเดียว ด้วยรูปลักษณ์ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างเหนือกาลเวลาของรถสปอร์ต 2 ที่นั่ง เครื่องยนต์วางกลางจากค่ายปอร์เช่คันนี้นี่เอง ที่เสมือนเป็นตัวแทนของรถสปอร์ตได้อย่างงดงาม
และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จนี้จึงได้มีบ็อกซเตอร์ (Boxster) รุ่นพิเศษออกมา นั่นคือรุ่นบ็อกซเตอร์ สไปเดอร์ (Boxster Spyder) ที่มาพร้อมกับสีเงิน (Platinum Silver Metallic) และหนังแท้สีแดง (Carrera Red) ที่จะมาตกแต่งให้กับภายในรถเพื่อเพิ่มความโดดเด่นอีกด้วย โดยแผนการผลิตนี้จะเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน สำหรับลูกค้าในเยอรมนีเป็นที่แรก
เบื้องหลังความสำเร็จที่ยาวนานคือการพัฒนาแนวคิดเครื่องยนต์วางกลางอย่าง ต่อเนื่องและกลายมาเป็นรุ่นมาตรฐานที่โดดเด่นให้กับรถยนต์ในคลาสนี้เลยที เดียว ยิ่งไปกว่านั้นตลาดรถสปอร์ตในอเมริกาได้จัดอันดับให้บ็อกซเตอร์ (Boxster) เป็นรถที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของรถที่ดีที่สุดถึง 10 ปีซ้อน ส่วนในเยอรมนีนั้นบ็อกซเตอร์มักได้ถูกจัดอันดับเป็นที่สองหรือที่สามเสมอ เพราะรุ่นที่ถือได้ว่าดีที่สุดและคว้าชัยที่หนึ่งมาได้นั้นคือรุ่น 911 นั่นเอง

ต้นกำเนิดของบ็อกซเตอร์ (Boxster) มาจากการผสมผสานระหว่างความเป็นปอร์เช่ที่มีมาแต่ดั้งเดิมผสานกับความสามารถ ที่โดดเด่นของรถ ความปราดเปรียว และพร้อมจะทะยานไปได้ไกลอย่างไร้ขีดจำกัด ปอร์เช่เริ่มเปิดตัวบ็อกซเตอร์ (Boxster) เป็นครั้งแรกในปี 1993 ในงานดีทรอยด์ มอเตอร์โชว์ สำหรับเรื่องของการออกแบบนั้นบ็อกซเตอร์ (Boxster) ได้รับแนวคิดมาจากรุ่น 356 No. 1 และรุ่น 550 สไปเดอร์ (550 Spyder) ที่โด่งดังในอดีต และผลตอบรับที่ได้จากสาธารณชนอย่างดีเยี่ยมหลังจากการเผยโฉมออกมานี้เอง ส่งผลให้เกิดการตัดสินใจในการนำบ็อกซเตอร์เข้าสู่สายการผลิตในช่วงฤดูร้อนปี 1996 นั่นเอง
ปอร์เช่ เคย์แมน-เอส
ด้วยเส้นสายของรถที่แสดงให้เห็นถึงความคล่องตัว ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่เหนือชั้น และด้วยราคาที่น่าดึงดูดใจทำให้รถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางรุ่นนี้กลายเป็น อีกหนึ่งรุ่นที่ขายดีที่สุด และได้รับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เข้าสู่โลกของ ปอร์เช่ได้ จากความสำเร็จของแนวคิดนี้ทำให้ปอร์เช่ตัดสินใจพัฒนารถยนต์คูเป้ที่มีรากฐาน จากรุ่นเปิดประทุน 2 ที่นั่งขึ้นมาอีกหนึ่งรุ่นนั่นคือ เคย์แมน (Cayman) และทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน IAA Frankfurt Motor Show ปี 2005 ด้วยยอดขายและความต้องการที่ล้นหลามส่งผลให้ปอร์เช่ บ็อกซเตอร์ (Boxster) และเคย์แมน (Cayman) ต้องขยายการผลิตไปที่โรงงานผลิต Valmet Automotive.ในฟินแลนด์ เพิ่มเติมจากโรงงานที่.Zuffenhausen
บ็อกซเตอร์ (Boxster) เปิดประทุนมีทั้งหมด 4 รุ่นนั่นคือ บ็อกซเตอร์ (Boxster) บ็อกซเตอร์ เอส (Boxster S) บ็อกซเตอร์ เอส แบล๊ค อิดิชั่น (Boxster S Black Edition) และบ็อกซเตอร์ สไปเดอร์ (Boxster Spyder) ส่วนเคย์แมนมี 4 รุ่นเช่นเดียวกัน เคย์แมน (Cayman) เคย์แมน เอส (Cayman S) เคย์แมน เอส แบล๊ค อิดิชั่น (Cayman S Black Edition) และเคย์แมน อาร์ คูเป้ (Cayman R Coupe) สำหรับสมรรถนะของเครื่องยนต์ 2 รุ่นนั้นมีความหลากหลายระหว่าง 255 แรงม้า (188 กิโลวัตต์) และ 330 แรงม้า (243 กิโลวัตต์) อีกทั้งอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นมีอัตราอยู่ระหว่าง 9.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และ 9.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเท่านั้น นั่นคือผลจากแนวคิด Porsche Intelligent Performance นั่นเอง
   
 

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เชฟโรเลต คามาโร บัมเบิลบี

เชฟโรเลต คามาโร บัมเบิลบี โลดแล่นในจอภาพยนตร์ พร้อมขายปีหน้ากับค่าตัวเพิ่มขึ้นอีก 3 พันเหรียญ
ใครที่เป็นแฟนภาพยนตร์ คงคุ้นหน้าคุ้นตาดีกับ รถยนต์คันเหลืองๆ สีสดใส แล้วกลายร่างเป็นหุ่นยนตร์ ตัวเบ้อเริ่มได้ เพราะนั่นเชฟโรเลต คามาโร ที่โลดแล่นอยู่ใน ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ อย่างทรานส์ฟอร์เมอร์สทั้ง 2 ภาค ทำให้ คามาโร กลายเป็นรถยนต์สปอร์ตสุดฮ็อต ไปโดยปริยาย
และได้สร้างยอดขายคามาโร ให้ติดอันดับ 1 ของรถสปอร์ตที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในอเมริกาสองปีซ้อน (ปี 2553 และ 2554)
ล่าสุด เชฟโรเลต เปิดตัว คามาโรรุ่นพิเศษ ทรานส์ฟอร์เมอร์ส สเปเชี่ยล เอดิชั่น ปี 2555 เผยโฉมให้แฟนพันธุ์แท้ทั่วโลกได้สัมผัสตัวจริง

เชฟโรเลต คามาโร
โดยในภาคนี้ เชฟโรเลต คามาโร กลับมาสวมบทบาทออโต้บ็อท “บัมเบิลบี” ฮีโร่พิทักษ์โลกอีกครั้งใน อภิมหาภาพยนตร์ “ทรานส์ฟอร์เมอร์ส: ดาร์กออฟเดอะมูน” ซึ่งจะออกฉายพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 29 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ เชฟโรเลตฉลองการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ครั้งนี้พร้อมส่งรถคามาโร รุ่นทรานส์ฟอร์เมอร์ส   สเปเชี่ยล เอดิชั่น ปี 2555 ออกสู่ตลาดในสหรัฐอเมริกา แคนาดา จีน ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกาใต้ และตะวันออกกลาง
ความร้อนแรงของ คามาโร นั้นทำให้ ในปี 2553 คามาโร ได้กลายเป็นเจ้าตลาดรถสปอร์ตที่ขายดีที่สุดในสหรัฐฯ แซงหน้า กฟอร์ด มัสแตง เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี และในปี 2011 ที่คามาโร ยังคงเป็นผู้นำในตลาด โดยเฉพาะเมื่อเชฟโรเลต เปิดตัวคามาโร คอนเวอร์ทิเบิล จวบจนถึงปัจจุบัน เชฟโรเลต จำหน่ายคามาโรไปแล้ว 40,275 คัน เทียบกับมัสแตงที่มียอดจำหน่าย 30,206 คัน  
แนวโน้มยอดจำหน่ายคามาโร ยังคงพุ่งสูงต่อเนื่อง เมื่อเชฟโรเลต เตรียมเปิดตัว คามาโร แซดแอล1 (ZL1) โมเดลในช่วงต้นปี 2012 ตามด้วยรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นอย่าง ทรานส์ฟอร์เมอร์ส สเปเชี่ยล เอดิชั่น
สำหรับ แพ็คเกจออปชั่นคามาโร ทรานส์ฟอร์เมอร์ สเปเชี่ยล เอดิชั่น ปี 2555 สีเหลือง อยู่ที่ 90,000 บาท (3,000 เหรียญสหรัฐ) สำหรับรุ่น 2LT และ 2SS นอกจากแพ็คเกจ RS สุดสปอร์ตแล้ว ตัวถังของทรานส์ฟอร์เมอร์ เอดิชั่นนี้ยังเป็นสีเหลืองสด คาดด้วยเส้นสีดำตั้งแต่ฝากระโปรงหน้าไปจรดสปอยเลอร์หลัง แพ็คเกจดังกล่าวยังรวมถึงล้ออัลลอย 20 นิ้วสีดำดุดัน หุ้มด้วยยางเกรดพิเศษ ตลอดจนโลโก้ออโต้บ็อตที่ฝากระโปรงหน้า และด้านข้างรถ
ภายในห้องโดยสารของคามาโร เวอร์ชั่นทรานส์ฟอร์เมอร์ส ตกแต่งด้วยหนังสีดำ ที่เดินด้ายสีเหลืองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแผงคอนโซล คอนโซลกลาง ที่วางพักแขน และเบาะทั่นั่ง โลโก้ออโต้บ็อตจะถูกปักอยู่ตรงบริเวณที่พิงศีรษะ เช่นเดียวกับคอนโซลกลาง

นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษจากผู้แทนจำหน่ายเพิ่มเติมอีก คือ ล้อสีดำขนาด 21 นิ้ว และการตกแต่งพื้นรถสีดำเพื่อเพิ่มความดุดัน 
ลูกค้าผู้สนใจสามารถสั่งซื้อ คามาโร ทรานส์ฟอร์เมอร์ส ลิมิเต็ดเอดิชั่น ได้ตั้งแต่เดือนก.ค.นี้ เป็นต้นไป และจะเริ่มรับรถได้ตั้งแต่เดือนก.ย.ในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา
สำหรับในประเทศไทย ทำได้แค่ ฉลองเปิดตัวภาพยนตร์ “ทรานส์ฟอร์เมอร์ส: ดาร์กออฟเดอะมูน” รอบปฐมทัศน์จะจัดขึ้นในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ ที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยในงาน เชฟโรเลตจะนำหุ่นยนต์ขนาดยักษ์ แคปติวาบ๊อท กับ ครูซบ๊อท มาจัดแสดง และยังนำ เชฟโรเลต แคปติวา ใหม่ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้มาเปิดตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานนี้ด้วย
และในวันที่ 2 ก.ค.นี้ เชฟโรเลตเปิดฉายภาพยนตร์รอบพิเศษเฉพาะลูกค้าของเชฟโรเลต ณ โรงภาพยนตร์ เอสเอฟ ซีเนม่า 7 แห่งในกรุงเทพฯ นอกจากนั้น ลูกค้าผู้ที่ถือบัตรเชฟวี่ พลัส การ์ด จะได้รับสิทธิพิเศษในการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ “ทรานส์ฟอร์เมอร์ส: ดาร์กออฟเดอะมูน” 2 ใบ ในราคาเพียง 1 ใบ เฉพาะโรงภาพยนตร์ในเครือ เอสเอฟ ซีเนม่า ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.-27 ก.ค.นี้ (ที่นั่งมีจำนวนจำกัด)



วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทดลองขับ ALL NEW MAZDA 3 (ตอนที่2)

Pic_182385
ทดสอบสมรรถนะและประสิทธิภาพการวิ่งทางไกลเต็มรูปแบบบนตัวรถ New Mazda 3 2011 ครั้งแรกในประเทศไทย...

บริษัท Mazda Sale Thailand Co.Ltd เชิญสื่อมวลชนสายยานยนต์ร่วมทำการทดสอบการขับขี่รถ New Mazda 3 เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร โดยใช้เส้นทางกรุงเทพฯ จากหน้าโรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค มุ่งหน้า - ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เชื่อมต่อถนนวงแหวนตะวันออก - วังน้อย - ฟาร์มโชคชัย - เขื่อนลำพระเพลิง - วังน้ำเขียว - กบินทร์บุรี รวมระยะทางในช่วงทดสอบของวันแรกกว่า 350 กิโลเมตร โดยใช้รถ New Mazda 3 รุ่นแฮตช์แบค 5 ประตู 10 คัน รุ่นซีดาน 4 ประตู 10 คัน พร้อมด้วยรถทีมงานและรถนำขบวนอีก 9 คัน ในการทดสอบที่นับได้ว่าเป็นการขับขี่ทดสอบรถรุ่น 3 เวอร์ชั่น 2 ครั้งแรกในประเทศไทย
10.30 น. วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2554 หลังจากฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ภายใน สมรรถนะของตัวรถตลอดจนการกำหนดเส้นทางของทีม PR จาก Mazda และวิศวกรชาวญี่ปุ่นจากสำนักงานใหญ่ในเมืองฮิโรชิมาที่บินตรงมาคอยดูแลและ คอยให้ข้อมูลรายละเอียดของตัวรถเรียบร้อยแล้ว ขบวนรถทดสอบทั้ง 29 คัน รวมจักรยานยนต์ BMW K1200 GT ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้นำขบวนอีก 2 คัน ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ฟาร์มโชคชัย ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นจุดแวะพักจุดแรกของการขับทดสอบทางไกลในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทีม PR ของ Mazda จัดรถ New Mazda 3 รุ่นตัวถังซีดาน 4 ประตู สีขาวสะอาดตาให้ผมกับคุณกานต์ รัชชะกิตติ ผู้จัดรายการวิทยุ Auto Media FM-Pick-up FM-Autobike FM ได้ทำการขับขี่ทดสอบสมรรถนะในช่วงแรกกับระยะทางประมาณ 130 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ฟาร์มโชคชัย โดยผมรับหน้าที่ไม้แรกในการควบเจ้า 3 รุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังร้อนแรงอยู่ในตลาดรถยนต์นั่งขนาด Sub-Compact จากค่าย Zoom Zoom ของประเทศไทย
ตำแหน่งของการนั่งขับขี่บนตัวเบาะกับพวงมาลัยของเจ้า New Mazda 3 สามารถปรับได้อย่างกว้างขวางครอบคลุมทุกสัดส่วนของผู้ขับขี่ ทัศนวิสัยมุมมองโปร่งโล่งรอบคันจากกระจกบานหน้า รวมถึงกระจกประตูทั้งสี่บานกับกระจกหลังที่ยังไม่ได้มีการติดฟิมส์กรองแสง ใดๆทั้งสิ้น ทำให้มุมมองรอบคันไม่มีอะไรมาคอยบดบังการมองเห็นในระยะไกลซึ่งจำเป็นมาก สำหรับการขับทดสอบแบบวิ่งตามติดกันมาเป็นขบวนด้วยความเร็วสูง ผมลองกดคันเร่งแบบเต็มๆหลังจากจ่ายเงินค่าผ่านทางด่วนรามอินทรา อาจณรงค์ ตามคำแนะนำของวิศวกรชาวญี่ปุ่นเพื่อดูอัตราเร่ง เสียงเครื่องยนต์ MZR ปริมาตรความจุ 2.0 ลิตร ครางกระหึ่มขึ้นทันทีที่คันเร่งไฟฟ้าถูกกระตุ้นโดยฝ่าเท้า พร้อมกับการพุ่งทะยานด้วยความมั่นคงของตัวรถ ในระดับความเร็วเดินทางที่ 140 กิโลเมตร รถ New Mazda 3 ใช้รอบเครื่องยนต์ประมาณ 3,200 รอบต่อนาที และเพิ่มขึ้นเป็น 4,200-4,700 รอบต่อนาที เมื่อความเร็วทะลุเกิน 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนการวิ่งแบบเรื่อยๆมาเรียงๆที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์ทวินแคม 16 วาล์ว รหัส MZR ซึ่งมีระบบวาล์วแปรผัน SVT-VSi ให้ใช้งานสามารถใช้รอบต่ำเพียงแค่ 2,700 รอบต่อนาที เป็นไปตามลักษณะของเครื่อง 2.0 ลิตรรุ่นใหม่ของ Mazda ที่เน้นการประหยัดเชื้อเพลิงและคายมลพิษต่ำ ย่านของกำลังในรอบต้นของเครื่อง MZR ตัวนี้ถูกปรับตั้งมาจากโรงงานให้ราบเรียบสม่ำเสมอ ไม่กระโชกโฮกฮากพุ่งทะยานเหมือนกับ Ford Focus TDCi เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ญาติผู้พี่ที่มีราคาค่าตัวแพงกว่า 1 แสนบาท
ความเร็วสูงสุดที่สามารถทำได้ในระหว่างการขับบนทางด่วนรามอินทรา-เชื่อม ต่อเส้นทางวงแหวนตะวันออกที่ 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวรถยังคงมีอาการมั่นคงดี แต่ผมไม่กล้ากดไปถึงตัวเลข 206 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามที่เคลมไว้ เนื่องจากเรื่องของความปลอดภัย การหน่วงน้ำหนักของพวงมาลัยไฟฟ้าแบบ EHPAS - Electro-Hydraulic Power Assisted Steering เป็นไปตามกลไกของย่านความเร็วซึ่งทำให้รู้สึกได้ถึงการเชื่อมโยงกัน ระหว่างพวงมาลัยกับพื้นผิวถนนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพของการยึดเกาะ ช่วงล่างที่ขึ้นชื่อของค่าย Zoom Zoom ยังแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะที่โดดเด่นไม่เป็นรองรถค่ายใด และให้ความรู้สึกที่เป็นกลางในการขับเข้าโค้งยาวๆ ชุดพวงมาลัยของเจ้า New Mazda 3 จับได้กระชับมือจากหนังแท้ที่ใช้หุ้ม ซึ่งมีการตัดเย็บเดินตะเข็บด้ายด้วยความปราณีต สวิตช์เปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัยมีรูปแบบที่ใช้งานได้ง่าย โดยใช้แป้นและสวิตช์ในการปรับเปลี่ยนอัตราทดขึ้น-ลง ให้ความสะดวกและคล่องแคล่วว่องไวจากการออกแบบตำแหน่งของสวิตช์กับแป้น เปลี่ยนเกียร์หลังวงพวงมาลัย

เบาะทรงสปอร์ตนั่งได้กระชับพอดีตัว แม้ผมจะปรับตำแหน่งความสูงของตัวเบาะให้ลงต่ำสุดก็ยังคงนั่งและมองเห็นได้ อย่างสบาย ทางโค้งแคบๆลึกๆ กับการหมุนพวงมาลัยเข้า-ออกจากโค้งบนภูเขาให้ความรู้สึกที่ดีกว่ารถญี่ปุ่น ที่มีระดับราคาใกล้เคียงกัน New Mazda 3 ทรงตัวบนทางโค้งได้ดีเยี่ยมจากตำแหน่งของการวางเครื่องยนต์และการกระจาย น้ำหนัก เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรที่มีชุดเกียร์ 5 สปีดพ่วงอยู่ถูกวางให้ร่นเข้าไปชิดกับห้องโดยสารมากขึ้น ส่งผลไปถึงความรู้สึกที่ให้ความเสถียรมากกว่ารถคู่แข่ง ใกล้เคียง Ford Focus TDCi ญาติที่ทำตัวเหินห่างของ Mazda 3 ในด้านประสิทธิภาพของระบบรองรับ แชสซีส์ รวมถึงการควบคุมในทุกระดับความเร็ว

12.15 น. ขบวนรถทดสอบ New Mazda 3 ทั้งหมด 29 คัน จอดพักทานอาหารเที่ยงที่ฟาร์มโชคชัย หลังจากนั้นผมจึงทำการสลับสับเปลี่ยนตัวรถจากรุ่นซีดาน 4 ประตูสีขาว Arctic White (A4D) ไปเป็นรุ่นแฮตช์แบค 5 ประตู สีเงิน Highlight Silver Matallic (18G) ตามโปรแกรมการทดสอบที่กำหนดโดยทีม PR ของ Mazda ซึ่งต้องการให้สื่อมวลชนขับกันแบบครบๆทั้งรุ่น 4 และ 5 ประตู เริ่มต้นการทดสอบในช่วงที่ 2 โดยใช้เส้นทางฟาร์มโชคชัย-เขาใหญ่-เขื่อนลำพระเพลิง ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตรบนเส้นทางที่คดเคี้ยวเต็มไปด้วยทางขึ้น-ลงเนินเขาเตี้ยๆที่ไม่สูง ชันเท่าใดนักแต่มีทางโค้งวกไป-วนมานับสิบโค้ง ซึ่งมีทั้งโค้งยาวขึ้น-ลงเนิน โค้งแคบหักศอกหรือโค้งรูปตัวเอส การทดสอบในช่วงนี้ทีมสื่อมวลชนทั้งหมดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นทางลาดยางแคบๆ สองเลนสวนกันและมีรถบรรทุก 10 ล้อกับรถปิกอัพเจ้าถิ่นขับสวนไปมาอยู่ตลอดเวลา เส้นทางในช่วงทดสอบที่สองนี้นี้เองที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่นำขบวน ต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อคอยอำนวยความสะดวกในการกันเส้นทาง หรือแม้แต่บล็อครถยนต์คันอื่นๆ ที่อาจวิ่งแทรกเข้ามากลางขบวน ฝีมือในการควบคุมรถจักรยานยนต์ BMW K1200 GT ของตำรวจทั้ง 2 นายต้องขอบอกว่าสุดยอดมาก ทำให้รถทดสอบทั้งหมดสามารถใช้ความเร็วในระดับที่มากกว่าการขับขี่แบบปกติ แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ปลอดภัยและปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด

อาการที่เป็นกลางของตัวรถ Mazda 3 ในระหว่างพุ่งตัวเข้าออกจากโค้งบนเส้นทางเขาใหญ่ ปากช่อง นครราชสีมา คือความเพียรพยายามของวิศวกรชาวญี่ปุ่นที่ดูแลรับผิดชอบด้านโครงสร้างกับ ระบบกันสะเทือน ซึ่งทำออกมาได้ดีสมกับการรอคอยสำหรับตัวรถรุ่น 3 เวอร์ชั่นที่ 2 แซสซีส์และยางส่งประกายงาน Dynamic ด้านกลไกของการรองรับรวมถึงการยึดเกาะในระดับดีเยี่ยม ยาง TOYO Tire รุ่น Proxes R32 เหมาะมากกับไซส์ของตัวถังและน้ำหนักตันกว่าๆของ Mazda 3 New Version มันทั้งเงียบและนุ่มนวลแถมยังไม่มีอาการแถหรือปัดให้เห็นแม้แต่น้อย เมื่อเจอกับกรวดทรายบริเวณกลางโค้งจากการทำถนนของกรมทางหลวง ซึ่งขบวนรถทดสอบทั้งหมดต้องวิ่งผ่านเป็นช่วงๆตลอดระยะทางช่วงทดสอบที่สอง ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 5 สปีดแบบ Active Matic สามารถปรับการทำงานได้ถึง 3 ระดับคือ
1) One Time Manual Mode สามารถใช้แป้นเปลี่ยนเกียร์แบบ Direct Mode ระบบจะเข้าสู่การทำงานปกติแบบอัตโมมัติ สามารถใช้แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่บริเวณหลังพวงมาลัยเพื่อทำการปรับอัตราทด ขึ้น-ลงด้วยความรวดเร็ว
2)  Active Matic การควบคุมการเปลี่ยนอัตราทดแบบเกียร์ธรรมดา เพิ่มเติมอารมณ์การขับขี่ในลักษณะสปอร์ตเต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับทางขึ้น-ลงเขาหรือเส้นทางที่อุดมไปด้วยโค้งที่ต้องใช้ Engine Break อยู่ตลอดเวลาแบบเส้นทางเขาใหญ่ ปากช่อง นครราชสีมา วังน้ำเขียว
3) Full Auto รูปแบบของการใช้งานบนระบบส่งกำลังแบบปกติทั่วไป ECU สมองกลไฟฟ้าในกล่องควบคุมเกียร์ จะทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนอัตราทดขึ้น-ลงไปตามระดับความเร็วอย่างชาญฉลาด ให้ความสะดวกสบายในการขับขี่ใช้งานบนเส้นทางปกติทั่วไป ทั้งการขับขี่ในเมืองหรือการเดินทางไกล
ไม่มีข้อสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมผู้คนแถบนี้ถึงเรียกที่นี่ว่าวังน้ำ เขียว ถนนสองเลนสวนสายหลักทอดตัวคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาที่มีทะเลสาบรายล้อมกับทุ่ง หญ้าแห้งๆ สีน้ำตาลสลับกับสีเขียวของแนวต้นไม้ใหญ่อยู่ทั่วไป วังน้ำเขียวเป็นอำเภอหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดนครราชสีมา ที่มาของชื่อ "วังน้ำเขียว" นั้นได้มาจากสภาพภูมิประเทศของที่นี่ เพราะพื้นที่ในแถบนี้มีวังน้ำที่ใสงดงามเป็นธรรมชาติ น้ำในช่วงต้นฤดูหนาวใสจนมองเห็นเงาสะท้อนสีเขียวของต้นไม้ชาวบ้านแถบนี้จึง เรียกพื้นที่นี้ว่าวังน้ำเขียวนั่นเอง

14.15 น. ขบวนรถทดสอบ New Mazda 3 เลี้ยวเข้าจอดยังจุดแวะพักที่ 2 เพื่อพักดื่มกาแฟ แล้วออกเดินทางต่อในช่วงสุดท้ายของเส้นทางทดสอบในวันแรกกับระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร เพื่อเข้าเช็คอินที่โรงแรมในตัวอำเภอกบินทร์บุรี เส้นทางข้างหน้าที่ต้องขับลงเขาเป็นหน้าที่ของคุณกานต์ รัชชะกิตติ ผู้จัดรายการวิทยุ Auto Media FM / Pick-up FM / Autobike FM ส่วนผมย้ายไปตำแหน่งข้างคนขับเพื่อนั่งจับอาการของเจ้า 3 ตัวใหม่ พร้อมกับถ่ายรูปเพื่อใช้ประกอบในการทดสอบครั้งนี้ iPad 2 ที่ทีม PR Mazda เตรียมไว้ให้ในรถทุกคันไม่มีโอกาสได้หยิบออกมาใช้งาน รวมถึงขนมและน้ำดื่มสารพัดชนิดในถุงเก็บความเย็นที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจ ใส่ต่อสื่อมวลชนของทีม PR Mazda ได้เป็นอย่างดี
เส้นทางหมายเลข 304 บางช่วงถูกกัดกร่อนโดยสภาพดินฟ้าอากาศที่ต้องผจญกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นประจำทุกปี แต่โดยรวมแล้วมันคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยวิวทิวทัศน์ที่งดงาม คุณกานต์ รัชชะกิตติ หรือน้องกบเริ่มแสดงฝีมือในการควบคุมเจ้า 3 ตัวใหม่ที่มีคาแรคเตอร์รถสปอร์ตแฝงอยู่ และใช้ความเร็วอย่างเต็มที่ในการขับเข้าโค้ง ผมจึงแนะนำให้ทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าแล้วค่อยกดคันเร่งเติมเข้าไปช่วงก่อน ถึงหัวโค้งเพื่อดูการยึดเกาะและการถ่ายเทมวลของตัวรถ คุณกานต์ ที่ผ่านการอบรมการขับขี่ควบคุมในสนามแข่งอัดเจ้า Mazda 3 ตัวแฮตช์แบค 5 ประตูสีเงินอย่างไม่ยั้งมือ ฝีมือในการควบคุมรถของน้องคนนี้นับได้ว่าอยู่ในขั้นดีเยี่ยม และผลักดันรีดเค้นเจ้า 3 ตัวใหม่ให้เข้าไปใกล้กับจุดสูงสุดของสมรรถนะได้อย่างเหลือเชื่อ แรงบิดทั้งหมดถูกดึงออกมาใช้เป็นช่วงๆ และทำให้ผมรู้สึกถึงกำลังของม้าทั้ง 146 ตัว ความแม่นยำของพวงมาลัยที่ทำงานประสานไปกับช่วงล่าง รวมถึงการเบรคอย่างเต็มกำลังเมื่อหน้ารถกำลังพุ่งทะยานเข้าหาท้ายรถคันหน้า บนเเส้นทางลงเขาชันๆ พร้อมป้ายเตือนถึงโค้งอันตรายข้างหน้าอีกเพียบที่จะต้องพบเจอ อัตราทดเกียร์จากโหมดปกติ Full Auto ที่ผมใช้ขับมาเกือบตลอดในช่วงเช้าถูกปรับเป็น Active Matic โดยการยัดเกียร์ขึ้น-ลงด้วยตัวเองของน้องกบเองชนิดมือเป็นระวิง

หลังจากผ่านทางลงเขาพร้อมด้วยโค้งโหดๆที่อุดมไปด้วยรถ 10 ล้อ กับกลิ่นยางและเบรคที่ร้อนจนแทบไหม้ ขบวนรถทดสอบทั้งหมดก็วิ่งเข้าสู่ทางหลวงจังหวัด 4 เลนมุ่งหน้าอำเภอกบินทร์บุรี พร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาเป็นระยะ แต่ไม่สร้างปัญหาให้กับยาง TOYO Tire เนื้อนุ่มแต่อย่างใดทั้งสิ้น จนมาถึงโรงแรมในเวลาประมาณ 16.50 น.

สรุปสมรรถนะโดยภาพรวมของ New Mazda 3 เป็นรถยนต์ 4 ที่นั่งแบบ Sub-Compact ที่มีประสิทธิภาพเกินราคาค่าตัวล้านนิดๆ ของมัน สภาพการขับขี่ทั้งตัวซีดาน 4 ประตูหรือแฮตช์แบค 5 ประตู แทบไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย การเก็บเสียงในย่านความเร็วสูงทำได้ดีในระดับหนึ่งด้วยยางเนื้อนิ่มของ  TOYO Tire ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Yokohama dB เบรคดีแต่ระยะแป้นเบรคลึกไปนิด พวงมาลัยให้ความรู้สึกถึงการยึดเกาะ คมและไวถึงแม้จะเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า EHPAS - Electro-Hydraulic Power Assisted Steering ระบบส่งกำลังที่มีโหมดให้ใช้งานถึง 3 โหมด ครอบคลุมการขับขี่ในทุกรูปแบบและทุกเส้นทาง สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือภายในห้องโดยสารที่จัดวางอุปกรณ์ โดยมีตำแหน่งคนขับเป็นจุดศูนย์กลาง วัสดุอุปกรณ์ถึงแม้จะไม่หรูหราเท่ากับรถยนต์จากยุโรป แต่มีรูปแบบและสีสันพร้อมการจัดวางตำแหน่งที่โดนใจพวกบ้าขับรถอย่างผมไป เต็มๆ ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงวัดอะไรไม่ได้เนื่องจากเป็นเส้นทางขึ้น-ลง เขาตลอดช่วง รถทดสอบแต่ละคันกดกันมาเต็มๆ จนไม่สามารถวัดได้ แต่ตัวเลขที่วิศวกรเคลมมาก็อยู่ในระดับที่ประหยัดใช้ได้ประมาณ 16 กิโลเมตรต่อลิตรหากไม่ใช้คันเร่งกันอย่างฟุ่มเฟือย
ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ส่วนใดบนโลกใบนี้คุณก็จะได้พบกับเจ้า 3 รูปทรงแบบนี้ทั้งในยุโรป อเมริกา เอเซีย ตะวันออกกลาง มันคือตัวเดียวรูปแบบเดียวที่ออกแบบมาเพื่อการขับขี่อย่างแท้จริง มันเงียบ นั่งสบาย รวดเร็วและคล่องแคล่วว่องไว มีรูปทรงภายนอกที่โดดเด่น ผมขับแค่ออกจากโรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค ก็หลงรักมันอย่างทันทีทันใด ปุ่มควบคุมทุกปุ่ม ที่จับประตู หนังหุ้มเบาะที่ใช้การตัดเข็บอย่างปราณีต รูปทรงแบบสปอร์ตของตัวเบาะที่นั่งแล้วรู้สึกกระชับตัว ก้านไฟเลี้ยว หน้าปัดทรงกระบอกพร้อมด้วยแสงสีที่งดงามในตอนกลางคืน ทุกสิ่งทุกอย่างสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์แบบ บนงานประกอบที่ดีจนไม่มีอะไรที่เสียดสีกันจนเกิดเสียงดัง พร้อมกับจิตใจที่โอนเอียงชื่นชอบรถยนต์ยี่ห้อนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากการที่เคยได้ขับขี่ใช้งานเจ้า Mazda Astina เวอร์ชั่น 2 ในช่วงปี 1996-1999 เห็นได้อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋ว่าค่าย Zoom Zoom กำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องและมั่นคงจากผลิตภัณฑ์ยานยนต์ที่ใช้ภาพ ลักษณ์ของรถยนต์แบบสปอร์ตที่ขับได้สนุกสนานมันส์ในอารมณ์มาเป็นจุดขาย สิ่งที่น่าผิดหวังของ Mazda 3 ใหม่มีเพียงแค่สิ่งเดียวคือ มันออกมาขายช้าไปนิดนั่นเอง.
Mazda 3 Version 2011 Specification
แบบ......................................ซีดาน 4 ประตู + แฮตช์แบค 5 ประตู
ผู้ผลิต....................................Mazda Japan
เครื่องยนต์............................MZR ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮตแคมชาร์ป (DOHC) 4 กระบอกสูบ
ลักษณะการวางเครื่องยนต์....เครื่องยนต์วางตามขวางด้านหน้า-ขับเคลื่อนล้อหน้า
วาล์ว......................................4 วาล์วต่อสูบ = 16 วาล์ว
ปริมาตรความจุ......................1,999 ซีซี.
อัตราส่วนกำลังอัด..................10.0:1
กระบอกสูบ x ช่วงชัก................87.5 มิลลิเมตร x 83.1 มิลลิเมตร
แรงม้าสูงสุด............................147 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด...........................182 นิวตันเมตร (18.6 กิโลกรัม/เมตร)ที่ 4,000 รอบต่อนาที
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง..................หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์มัลติพอยท์
ความจุถังเชื้อเพลิง..................55 ลิตร
ประเภทเชื้อเพลิง.....................เบนซิน 91 หรือแก๊สโซฮอล์ E20
ระบบส่งกำลัง..........................เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมโหมดปรับเปลี่ยน 3 รูปแบบ
พวง มาลัย................................แรคแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงไฟฟ้า EHPAS - Electro-Hydraulic Power Assisted Steering
รัสมีวงเลี้ยว.............................5.2 เมตร

ระบบกันสะเทือน
ด้านหน้า.................................อิสระ แมคเฟอร์สัน สตรัท โช๊คอัพ สปริง เหล็กกันโคลง
ด้านหลัง.................................อิสระ มัลติลิ้งค์ E-Type โช๊คอัพ สปริง เหล็กกันโคลง
ล้อและยาง.............................อะลูมินัมอัลลอยขนาด 17 นิ้ว ยาง TOYO Tire รุ่น Proxes R32 ไซส์ 205/50/R17 ทั้ง 4 ล้อ

มิติตัวถัง
ความกว้าง..............................1,755 มิลลิเมตร
ความยาว................................รุ่น Maxx 4,580 มิลลิเมตร รุ่น Maxx Sport 4,490 มิลลิเมตร
ความสูง..................................1,470 มิลลิเมตร
น้ำหนัก....................................1,345 กิโลกรัม
ราคา........................................1,064,000 บาท.

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทดลองขับ ALL NEW MAZDA 3 (ตอนที่1)

Pic_182100
Create Your Own Definition เปลี่ยนทุกคำจำกัดความที่มี นี่คือการทดสอบเต็มรูปแบบครั้งแรกในประเทศไทย บนตัวรถแฮตช์แบคที่ร้อนแรงที่สุดในช่วงเวลานี้ของเมืองไทย All New Mazda 3 ...

All New Mazda 3 Model 2011 คือรถยนต์ 4 ที่นั่งยอดนิยมจากค่าย Zoom Zoom ในเวอร์ชั่นที่ 2 กับภาพลักษณ์ของสายพันธุ์สปอร์ตแฮตช์แบค 5 ประตู และซีดาน 4 ประตู ที่มีเทคโนโลยีของการขับขี่ควบคุมไม่เป็นรองค่ายใด เอกลักษณ์บนรูปทรงที่โดดเด่นโดนใจผู้ใช้รถยนต์ที่ชื่นชอบการขับขี่ที่มีความ แตกต่างจากรถทั่วไป ทั้งในด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์ ช่วงล่าง ระบบส่งกำลัง ระบบควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิง ระบบควบคุมการทรงตัวและการเบรค รวมถึงรูปทรงที่สวยงามดุดันสมกับเป็นยานยนต์ที่ถ่ายทอดความเป็นรถสปอร์ตได้ ดีอีกค่ายหนึ่ง

บริษัท Mazda มักจะนำเอาผลิตภัณฑ์ของตนเองไปเชื่อมโยงกับกีฬามอเตอร์สปอร์ตอยู่เสมอ หลังจากการคว้าชัยชนะเหนือรถคู่แข่งในรายการ Le Mans Series 24h ของปี 1990 -1991 บนตัวรถแข่งรุ่น 787B เครื่องยนต์สูบหมุนแบบโรตารี่ ประวัติศาสตร์บนความทรงจำอันยิ่งใหญ่ ก่อกำเนิดสายพันธุ์ยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพสมราคาค่าตัวในปัจจุบัน ส่งถ่าย DNA ของรถแข่งมาสู่รถบ้านนับจากอดีตสู่ปัจจุบัน ด้วยความแม่นยำของการควบคุม บวกกับความรู้สึกที่ดีเมื่อได้ขับขี่รถยนต์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์สปอร์ต เช่น Mazda MX-5 / Mazda RX7 / Mazda RX-8 / Mazda 2 / Mazda 6 / Mazda CX-7 CX-9 รวมถึงโมเดลที่ 2 ของรถยนต์ครอบครัวที่เน้นภาพลักษณ์รถสปอร์ตอย่าง Mazda 3 2011


Mazda ได้ฤกษ์เปิดตัวรถ Mazda3 ใหม่โมเดล 2011อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2554 แบบมากันครบทั้งแฮตช์แบค 5 ประตูและซีดาน 4 ประตู พร้อมเตรียมจัดให้มีการทดสอบเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยทีมสื่อมวลชนสายรถยนต์ในช่วงต้นเดือนเมษายน แต่มาเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงถึง 9.0 แมคนีจูดสเกล บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่เกาะญี่ปุ่น ทำให้ต้องเลื่อนการทดสอบมาเป็นวันที่ 21-22-23-24 เดือนมิถุนายน 2554 หลังจากที่ผมได้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยมาอย่างยาวนานถึงกว่า 2 ปีก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับยานยนต์คุณภาพที่กำลังทำตลาดอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ ปัญหาเรื่องการขาดแคลนอะไหล่และชิ้นส่วนที่ส่งมาประกอบยังโรงงานในจังหวัด ระยองได้รับการแก้ไขให้เข้าสู่สภาวะปกติแล้ว

ค่าย Mazda-Japan มุ่งเน้นการทำตลาดรถ Mazda 3 ใหม่ในยุโรปกับสหรัฐอเมริกามาก่อนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2009 บริษัท Mazda Sale Thailand Co.Ltd ก็ได้ทำการเปิดตัวรถยนต์นั่งแบบสปอร์ต New Mazda 3 โมเดล 2011 ซึ่งกำลังอยู่ในความสนใจของกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถยนต์สมรรถนะสูงหลังจากรถ โมเดล 3 เวอร์ชั่นแรกทำตลาดมานานกว่า 6 ปีแล้ว ตัวรถรุ่น 3 ใหม่นี้ได้ทำการเปลี่ยนแปลงไลน์ประกอบ โดยย้ายมาที่โรงงานของ Mazdaในจังหวัดระยองทั้งหมด หลังจากรถ Mazda 3 เจนเนอเรชั่นแรกสุด ทำตลาดได้ดีจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ช่วงล่างและระบบส่งกำลังที่เทียบ เท่าหรือดีกว่ารถยนต์จากทวีปยุโรปในปริมาตรความจุเครื่องยนต์ที่เท่ากัน


New Mazda 3 Model 2011 มาพร้อมกับรูปทรงของด้่านหน้าที่ดูเข้มข้นขึ้น จากการออกแบบของ Mr. Kunihiko Kurizu หัวหน้าแผนกดีไซน์คนใหม่ของบริษัท Mazda โดยใช้การเหนี่ยวนำเอารูปทรงของรถต้นแบบแนวคิด Mazda Ryuga Concept มาใช้ในการออกแบบรถรุ่น 3 ใหม่ทั้งหมด เช่น กระจังหน้าทรงห้าเหลี่ยม ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ Bi-Xenon ทรงบูมเมอแรง สปอยเลอร์ด้านหน้าและแนวของเสา A โดยเฉพาะกระจังหน้าขนาดใหญ่มีช่องแบบรังผึ้งใช้พลาสติกสีดำเพื่อความเฉี่ยว คม สอดรับกับรูปลักษณ์ด้านหน้าซึ่งใช้การดีไซน์ให้ชิ้นของตัวสปอยเลอร์รวมเข้า กับรูปทรงห้าเหลี่ยมของกระจังแบบใหม่ล่าสุด สปอยเลอร์ของเจ้า 3ใหม่ตัวนี้ เมื่อมองกันอย่างชัดๆจะมีดีไซน์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากในส่วนของช่อง รับอากาศเข้าด้านหน้า และช่วยทำให้ด้านหน้าของตัวรถมีความดุดันเพิ่มมากขึ้นด้วยไฟตัดหมอกทรง สปอร์ตที่อยู่บริเวณชายล่างทั้ง 2 ข้างของสปอยเลอร์หน้า ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ Bi-Xenonออกแบบตามสมัยนิยมที่ให้ลำแสงพุ่งเป็นแนวตรงพร้อมกับไฟเลี้ยวที่ อยู่ภายในกรอบโพลิเมอร์ใสรวมกับชุดไฟหน้า


ส่วนด้านข้างของตัวถังเจ้า New Mazda 3 มีมิติที่เพิ่มขึ้นมากกว่ารุ่นเก่าจากการใช้เส้นโค้งของบังโคลนหน้าทำให้ ซุ้มล้อหน้าของมันดูอวบอ้วนกว่าปกติ แนวของประตูด้านข้างทั้ง 4 บานใช้เส้นทะแยง โดยดีไซน์ให้ลากตัดผ่านมือจับประตูไปจนจรดไฟท้าย เส้นด้านข้างตัวถังที่ดูดีทำให้รูปทรงของรถ Mazda 3 ทั้งรุ่นซีดาน 4 ประตูและแฮตช์แบค 5 ประตู ดูคล้ายกันจนมองแทบไม่ออก แนวด้านข้างของเจ้า 3 ใหม่ในรุ่นแฮตช์แบค ยังคล้ายกับ Subaru Impreza WRX-STi เวอร์ชั่นปัจจุบันอีกด้วย ส่วนด้านข้างของรุ่นซีดานมีมิติของส่วนท้ายที่ลงตัวมากกว่าเวอร์ชั่นแรก จากการออกแบบให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้น รถ Mazda 3 ใช้ล้ออะลูมินัมอัลลอยสีเงินขนาด 17 นิ้ว กับยางซิ่งคุณภาพสูงราคาแพงของ TOYO Tire รุ่น Proxes R32 ไซล์ 205/50/R17 ทั้ง 4 ล้อ เป็นยางเนื้อนิ่มแบบสปอร์ต ที่ลดการต้านทานของผิวถนนและมีเสียงระหว่างการวิ่งด้วยความเร็วสูงต่ำมาก


บั้นท้ายของตัวรถรุ่น 5 ประตูจะดูมีมิติมากกว่ารุ่นซีดาน 4 ประตูเล็กน้อย ไฟท้ายเลนส์ใสใช้พลาสติกทรงกลมสีขาวอยู่ด้านใน ภายในมีหลอด LED กับไฟเลี้ยวที่ใช้แนวคมๆ ของขอบพลาสติกสีแดงมาตัดกันอย่างลงตัว รุ่น 5 ประตูจะมีรูปทรงด้านท้ายที่ลงตัวกว่ารุ่นซีดาน 4 ประตู และเมื่อลองมองเปรียบเทียบกันดูแล้ว บั้นท้ายของเจ้า 3 รุ่นล่าสุดจะมีความงามและลงตัวมากกว่ารุ่นเก่าแบบเห็นๆ เลยทีเดียวเนื่องจากความโดดเด่นของไฟท้ายแบบใหม่ที่ดูดีกว่าของเวอร์ชั่นแรก


ห้องโดยสารของ Mazda 3 New Model 2011มีลักษณะออกไปในแนวทางของรถสปอร์ตตามแบบอย่างที่ค่าย Zoom Zoom มีความถนัดอยู่แล้ว ในการออกแบบที่ใช้ชื่อว่า Center Focus Design หน้าปัดทรงกระบอก Hoodless Design ที่มีทั้งวัดรอบของเครื่องยนต์และวัดความเร็วของตัวรถมาให้ โทนสีของหน้าปัดยังคงสไตล์รถยนต์จากยุโรปเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการใช้โทนสีส้มและสีน้ำเงินอมฟ้าเป็นสีนำเสนอที่ดูไปแล้วต้องโดนใจแฟนๆ ของค่ายนี้อย่างแน่นอน ด้านบนมีจอแสดงผลแบบ MID คอยแจ้งเตือนผู้ขับเกี่ยวกับระบบต่างๆ ของตัวรถในระหว่างการขับใช้งาน สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ สวิตช์สตาร์ทเครื่องยนต์แบบ Push Start-Button ชุดคอนโซลกลางมีชุดเครื่องเสียง CD / MP3 /พร้อมด้วยระบบลำโพงแบบแยกทิศทางและช่องต่อเชื่อมอุปกรณ์เครื่องเล่น iPod แบบ AUX ต่ำลงมาจากชุดเครื่องเสียงเป็นระบบปรับอุณหภูมิแบบดิจิตอลแยกส่วน ปรับระดับความเย็น มีปุ่มหมุน 3 ปุ่ม ที่สามารถปรับได้ทั้งความเย็นความแรงของพัดลมและการกระจายลมเย็นไปทั่วทั้ง ห้องโดยสาร เบาะนั่งแบบสปอร์ตห่อหุ้มด้วยหนังแท้เกรดสูง และใช้การเดินตะเข็บแบบคู่ตัวรถรุ่น 5 ประตู ยังสามารถพับเบาะด้านหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการขนสัมภาระพวกกระเป๋าเดินทาง ใบใหญ่ หรือถุงกอล์ฟรวมถึงสัมภาระต่างๆ ได้มากขึ้นกว่าเวอร์ชั่นแรกเล็กน้อย หลังคา Sunroof เปิด-ปิด ด้วยการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า เพิ่มเติมคุณประโยชน์ในการใช้สอยได้อีกระดับและได้รับความนิยมมาตั้งแต่ เวอร์ชั่นแรก


แสงไฟในบริเวณ Cockpit จะสวยงามขึ้นมาทันทีเมื่อมันถูกขับใช้งานในตอนกลางคืน การออกแบบโทนสีของไฟหน้าปัดรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ถูกเน้นด้วยโทนสีส้ม-ฟ้า เพื่อสร้างอารมณ์การขับขี่ที่แตกต่างจากรถญี่ปุ่นทั่วไปและเป็นแนวทางที่ ค่าย Zoom Zoom ใช้นำเสนอควบคู่ไปกับภาพลักษณ์แบบสปอร์ต  อุปกรณ์พวกสวิตช์ ปุ่มกดใช้งานมีไฟเรืองแสงสีส้มอยู่ภายในแทบจุด ชุดควบคุมเครื่องเสียงยังใช้ลูกเล่นให้มีไฟสีฟ้ากระพริบเมื่อคุณหมุนปุ่ม ปรับ เป็นฟังก์ชั่นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงให้เห็นถึงการใส่ใจในการดีไซน์ ระบบจอแสดงผลแบบ MID-Multi Information Display แจ้งเตือนการทำงานของระบบต่างๆ รวมถึงจอของชุดเครื่องเสียง

ภายในของเจ้า 3 ใหม่ยังมีช่องวางแก้วที่เก็บแว่นตาและพนักวางแขนให้มาอย่างครบครัน วงพวงมาลัยแบบ 3 ก้านมีสวิตช์มัลติฟังก์ชั่นมาให้ พร้อมด้วยแป้นเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ตามรูปแบบของรถสปอร์ตชนิดเข้มข้นอย่าง สุดๆ นับเป็นภายในที่ออกแบบได้ดี สวยงามเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะช่วยผู้ขับขี่ให้ได้รับความสะดวกสบายอย่างสูงสุด


หัวใจของการขับเคลื่อนใน New Mazda 3 เป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่รหัส MZR ปริมาตรความจุ 2.0 ลิตร ใช้ระบบวาล์วแปรผันไปตามความเร็วรอบแบบ S-VT และ VIS ให้แรงบิดสูงในรอบเครื่องต่ำเพื่อทำให้ขับได้ง่ายและคล่องตัว รวมถึงมีอัตราการใช้เชื้อเพลิงดีขึ้นเล็กน้อย เป็นเครื่องทวินแคม 4 กระบอกสูบ 16 วาล์ว ปริมาตรความจุ 1,999 ซีซี ใช้อัตราส่วนกำลังอัดสูงถึง 10.0:1 ความกว้างกระบอกสูบ 87.5 มิลลิเมตร ช่วงชัก 83.1 มิลลิเมตร มีแรงม้าสูงสุด 147 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 18.6 กิโลกรัม/เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แบบมัลติพอยท์ ซึ่งสามารถใช้เชื้อเพลิงเบนซินชนิด E20 หรือน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ถังเชื้อเพลิงมีความจุไม่มากนักตามขนาดของตัวรถที่ 55 ลิตร


ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด อัตราทดชิด พร้อมด้วยกลไก Activematic สำหรับการขับขี่ในโหมด Manual ระบบบังคับเลี้ยวใช้พวงมาลัยไฟฟ้า EPS ชนิดผ่อนแรงและแปรผันไปตามความเร็วของตัวรถในขณะขับขี่ช่วงล่างด้านหน้าแบบ แมคเฟอร์สันสตรัท สปริง โช๊คอัพแก๊ส และเหล็กกันโคลงเส้นเขื่องส่วนช่วงล่างด้านหลังยังคงเป็นแบบอิสระมัลติลิงก์ โช๊คอัพสปริงพร้อมเหล็กกันโคลงที่ให้ความหนึบแน่นไม่แตกต่างจากรถยุโรปชั้น ดี ช่วงล่างที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการยึดเกาะยังคงเป็นเอกลักษณ์ของค่าย Zoom Zoom มาช้านานแล้ว ล้ออะลูมินัมอัลลอยลายใหม่แบบ 10 ก้านคู่ ขนาด 17x7.0 J (17 นิ้ว) ห่อรัดด้วยยางสปอร์ตคุณภาพสูงของ Toyo รุ่น Proxes R32 ไซส์ 205/50/R17 เป็นยางขนาดกำลังพอดีที่เหมาะสมกับตัวรถทั้งแบบ 4-5 ประตู ไม่ใหญ่โตจนต้องลดความสูงของแก้มยางและส่งผลไปถึงระบบรองรับ หรือทำให้สะเทือนเมื่อขับผ่านเส้นทางที่ไม่เรียบ


ภายใต้รูปทรงแบบรถแรงที่สวยงามดุดันของเจ้า New Mazda 3 2011 พร้อมด้วยระบบรองรับที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ ที่มีขนาดของเครื่องยนต์เท่าๆ กัน ทำให้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเอาไว้อย่างชัดเจนมีความแน่นอนมากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงกลุ่มลูกค้าที่ชอบสมรรถนะกับความแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครในรูปแบบของ ความเป็นรถยนต์นั่งสปอร์ตมาดเข้ม คาดว่าการทำตลาดของเจ้า 3 ตัวล่าสุดนี้ จะสร้างความลำบากให้กับรถคู่แข่งมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว ด้วยราคารุ่นสูงสุด Maxx Sport A/T ที่ 1,064,000 บาท.

ติดตามอ่าน "ทดลองขับ All New Mazda 3 2011" ได้ในตอนต่อไป