วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

NEW CAR OF THE MONTH

Pic_189453
รถใหม่ 8 คัน จาก 8 ค่ายผู้ผลิต ออกวางขายแล้วทั่วยุโรป ในช่วงต้นฤดูร้อนนี้...
เหตุการณ์สึนามิในประเทศญีุ่ปุ่น ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวาง และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก โรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น ต้องปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปัญหาในเรื่องของพลังงานไฟฟ้า ที่ภาครัฐต้องส่งไฟให้กับบ้านเรือนประชาชนก่อนเป็นอันดับแรก บาดแผลที่แสนจะเจ็บปวดในครั้งนี้ ยังทำให้ยอดการผลิตและจำหน่ายของปี 2011 พังทลายลงในพริบตา ตัวเลขทางการตลาดดิ่งลงเหวทันทีในเดือนเมษายน หลังจากนั้นทุกอย่างจึงค่อยๆ ปรับเข้าสู่สภาวะปกติ จากการเร่งแก้ไขปัญหาของรัฐบาล และหน่วยงานเอกชนที่ร่วมมือร่วมแรงกันแก้วิกฤติการณ์ที่เลวร้ายมากที่สุด บนแผ่นดินที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนของต้นกำเนิดรถยนต์จากทวีปเอเซีย

บริษัท Toyota และ Honda แถลงต่อสื่อมวลชนท่ัวโลกว่า กำลังการผลิตในไลน์ประกอบรถ จะเข้าสู่สภาวะปกติภายในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ ส่วนปัญหาบริษัทผลิตชิ้นส่วนพวกซับพลายเออร์ ที่ผลิตอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ในส่วนที่ใช้ควบคุมเครื่องยนต์สามารถส่งชิ้น ส่วนที่จำเป็นต่อการประกอบได้เพียง 30% นั้นกำลังถูกแก้ไขอย่างเร่งด่วน ไม่เพียงแค่ Honda และ Toyota เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Ford-GM-Fiat-Peugeot ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วยจากการขาดแคลนชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่สั่งทำในญี่ปุ่น แผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงถึง 9.0 แมคนีจูดสเกล ยังได้ทำลายศูนย์วิจัยและพัฒนารถยนต์อันทันสมัยที่สุดของบริษัท Honda ไปจนหมดสิ้น แต่ค่าย Honda ก็ยังสามารถย้ายฐานปฏิบัติการไปยังที่แห่งอื่นได้อย่างรวดเร็วและเต็มเปี่ยม ไปด้วยประสิทธิภาพ ที่บวกกับความมุ่งมั่นของพนักงาน
โรงงานผลิต เครื่องยนต์ของ Nissan ใน Iwaki ที่ได้รับผลกระทบไปด้วยก็ยังสามารถกลับมาดำเนินงานต่อได้ หลังจากยุติสายการผลิตไปนานถึงกว่า 1 เดือน ปัญหาที่เกิดขึ้นกลับส่งผลให้ค่ายรถยนต์ที่ไม่ได้รับผลกระทบ หรือได้รับผลกระทบน้อยมาก เร่งส่งรถรุ่นใหม่ออกวางขายเพื่อกระตุ้นตลาดที่ซบเซา โอกาสที่ดีเกิดจากค่ายรถแดนปลาดิบ ที่ไม่สามารถส่งตัวรถให้กับลูกค้าที่จองไว้ได้ตามกำหนดเวลานั่นเอง

Audi Q3 Quattro
Crossover คันเล็กต่อจากรุ่น Q5 นี่คือยานยนต์ 5 ประตู ขนาดกระทัดรัด ที่เน้นสมรรถนะในการลุยเป็นพิเศษของค่าย 4 ห่วง บริษัท Audi วางเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TDI 138-175 แรงม้าที่ประหยัดน้ำมันให้กับเจ้าตัวเล็กรุ่นนี้ รวมถึงเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TFSI 166-208 แรงม้า เพื่อเป็นอีกทางเลือกของแฟนๆ ที่นิยมรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อชั้นดีจากเยอรมัน น้ำหนักตัวน้อยกว่า BMW X1 ถึง 45 กิโลกรัม ส่งผลไปถึงประสิทธิภาพในด้านแรงบิดรอบต่ำ แต่ก็ซดเชื้อเพลิงมากกว่า เจ้า X1 ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ยอดเยี่ยมแบบ Quattro เดินทางมาถึงยุคที่ 5 บนความทันสมัยที่เข้ากันกับประสิทธิภาพของตัวรถได้เป็นอย่างดี รวมถึงเกียร์แบบทวินครัตช์ 6 สปีดก็ยังถูกนำมาติดตั้ง เพื่อรักษามาตรฐานยนตกรรม ที่มีงานวิศวกรรมขั้นสูงแฝงอยู่เพียบ แผนกตกแต่งของ Audi ยังมีรุ่น S-Line ที่มีล้อขนาด 19 นิ้ว กับชุดสปอยเลอร์ให้เลือกเป็นของตกแต่งอีกด้วย ราคาในอังกฤษ (ยังไม่รวมภาษี) 29,000 ปอนด์ ออกวางขายแล้วทั่วยุโรป

Mercedes Benz C63 AMG Coupe
หลังจากตามหลังเจ้า M3 อยู่หลายปี ในที่สุดค่ายตราดาว ก็ปล่อยผลิตภัณฑ์ตัวแรงคันล่าสุด ที่สามารถเทียบเคียงรถ สปอร์ตจากค่ายใบพัดสีฟ้าได้อย่างเต็มภาคภูมิ รถสปอร์ตคูเป้คันแรง Mercedes Benz C63 AMG Coupe วางเครื่องยนต์แบบ V8 ที่ไม่พึ่งพาระบบอัดอากาศใดๆ ทั้งสิ้น นี่คือรถสองประตูทรงสวย ที่เพียบพร้อมไปด้วยระบบอำนวยความสะดวกยามขับขี่ ใน ระดับเกือบจะสูงสุด เครื่องยนต์ 6.2 ลิตร ทำให้มันมีความจุมากกว่า BMW M3 ถึง 2000 กว่าซีซี และให้เรี่ยวแรงมากกว่า 37 แรงม้า เบรคใหญ่ขึ้น เพิ่มความกว้างของแทร็คด้วยล้อขนาด 19 นิ้ว ตัวเลขของอัตราเร่งเหนือกว่า 0.1 วินาที แต่ความเร็วสูงสุดยังคงถูกตอนเอาไว้ที่ 155 ไมล์ต่อชั่วโมง ตามกฏหมายของเยอรมัน เวอร์ชั่นอัพเกรดสามารถเพิ่มแรงม้าได้อีก 29 แรงม้า ราคาประมาณ 57,000 ปอนด์ ออกขายในเดือนสิงหาคมนี้

BMW M5
เช่นเดียวกันกับรถ M5 ทุกรุ่น กำลังและประสิทธิภาพของเจ้า BMW New M5 F10 จึงถูกเน้นหนักเป็นพิเศษ เพื่อทำให้มันยึดตำแหน่งซาลูนสมรรถนะสูงของโลกได้ อีกครั้งอย่างไม่ยากเย็นเท่าใดนัก รูปทรงแบบอนุรักษ์นิยมของสปอยเลอร์หน้า ที่มีช่องรับอากาศเข้าขนาดใหญ่ยักษ์ ยังคงอยู่เหมือนเดิม ตามด้วยช่องระบายอากาศแบบเหงือกปลาฉลาม ที่แก้มทั้งสองข้างก็ยังคงอยู่อีก เช่นกัน ล้ออัลลอยใหญ่ขึ้นเป็น 20 นิ้ว ใส่ยางของ Michelin Pilot Supersport ไซล์ 265/35/R20 ที่ด้านหน้าและ 295/30/R20 ที่ล้อคู่หลังเพื่อถ่ายเทแรงบิด 530 ปอนด์-ฟุตจากเครื่อง V8 ทวินเทอร์โบร์ที่มีม้ามากถึง 570 ตัวบนระบบขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง เครื่องยนต์รุ่นใหม่แบบ V8 M-Twinpower มีปริมาตรความจุ 4,395 ซีซี ใช้เทอร์โบแฝดแบ่งหน้าที่การอัดอากาศแบบแยกจากกันฝั่งละ 4 กระบอกสูบบนวาว์ลทั้ง 32 ตัว ระบบส่งกำลังใช้เกียร์รุ่นใหม่ล่าสุด M-DTC7 พร้อมโหมดออโต้กับแป้นแพดเดิ้ลชิพเหมือนเดิม ในราคาค่าตัวกระชากใจเศรษฐีที่ 70,000 ปอนด์ ออกวางจำหน่ายในช่วงเดือนพฤจิกายนนี้

Lexus LF-GH Concept 2012
ดูๆ ไปแล้ว ทรงของ Lexus ในยุคใหม่เริ่มเพิ่มเติมความโหดขึ้นเรื่อยๆ จากการออกแบบกระจังหน้าขนาดใหญ่ ที่ดูคล้ายกับ Audi อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซาลูนหรูระดับพรีเมี่ยมของแดนปลาดิบคันนี้ ยังเป็นเพียงรถต้นแบบแนวคิดที่ ใกล้เคียงกับรูปทรงที่จะลงมือผลิตจริงที่สุดแล้ว ในตลาดของประเทศอังกฤษ จะมีรุ่นเครื่องยนต์ลูกผสมแบบ Hybrid ออกขาย เนื่องจากปัญหาราคาเชื้อเพลิง ส่วนพื้นที่การขายแหล่งอื่นๆ ทั่วโลก มีเครื่องยนต์แบบ V6 3.0-3.5 ลิตร สมรรถนะสูงที่ถูกพัฒนามาเป็นอย่างดีเป็นต้นกำลังของรถรุ่นนี้ บนความหรูหราน่าสัมผัส ในระดับสูงสุดของซีดานจากประเทศญี่ปุ่น เจ้า LF-GH พุ่งเป้าไปที่ Mercedes Benz E-Class กับ BMW New Series5 ในการแข่งขันด้านการตลาดเครื่องยนต์ Hybrid ใช้เครื่องเบนซิน 2.0 ลิตร 4 กระบอกสูบทำงานพ่วงกับระบบขับเคลื่อนของชุดมอเตอร์ไฟฟ้า บนความงามของอุปกรณ์ตกแต่งภายในห้องโดยสารที่เน้นความน่าใช้งานในระดับสูง สุด ราคาค่าตัวประมาณ 45,000 ปอนด์ และน่าจะออกทำตลาดในช่วงฤดูร้อนของปีหน้านี้ (2012)

MINI Cooper SD
รถ MINI เครื่องยนต์ดีเซลออกขายแล้วทั่วโลก นี่คือรถเล็กที่วางเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 105 แรงม้า โดยมีระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบคอยให้ความช่วยเหลือ เครื่องยนต์ดีเซลตัวนี้นำมาจาก BMW Series 1 ในรหัส 118d แข็งแกร่งทนทานกว่าเครื่อง 1.6 เบนซิน ของเดิมอย่างเห็นได้ชัด แรงบิด 225 ปอนด์-ฟุต มาในรอบเครื่องต่ำแค่ 1750 รอบต่อนาที และให้แรงบิดดีกว่ารุ่น Cooper S แบบเห็นๆ ระบบส่งกำลังและช่วงล่างยังคงเดิมไว้ทั้งหมด เนื่องจากดีอยู่แล้ว เพียงแต่การออกตัวและอัตราเร่งยังคงเป็นรองรุ่น Cooper S อยู่บ้าง แต่แลกเปลี่ยนด้วยความประหยัด ที่แถมมากับสภาพการขับขี่ในรูปแบบของรถโกคาร์ท ที่มีความมันส์แถมให้กับเจ้าของ เมื่อหักเข้าโค้งแคบๆ ด้วยความเร็วสูง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการรถเล็กประหยัดเชื้อเพลิง (แต่ราคาค่าตัวไม่ประหยัด) ที่ 1,8750 ปอนด์ ออกขายแล้วทั่วยุโรปในช่วงเวลาต้นฤดูร้อนของเดือนนี้

Porsche 911/997 GT3-RS 4.0
รถสปอร์ตสมรรถนะสูง เท่าเทียมรถสนามคันนี้ คือ โมเดล 997 ในตระกูล 911 ของม้าป่าแห่งสตุ็กการ์ต เจ้าแห่งความเร็วทั้งบนถนนในวันทำงานและในสนามแข่งวันหยุดคันนี้ มาพร้อมกับอุปกรณ์ที่สามารถใช้ขับได้ ทั้งไปทำงาน หรือซิ่งไปบนลู่แข่งทางเรียบเพื่อชัยชนะ รถ 911 GT3-RS 4.0 มีเกียร์ PDK อันลือลั่นเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ถึงแม้จะทำเวลาในช่วงออกตัวเป็นรองรุ่น Turbo อยู่บ้างแต่ราคาค่าตัวก็ต่างกันมาก มันคือรถ Porsche เครื่องยนต์วางท้ายที่เบาที่สุดในโมเดล 911 กับจำนวนการผลิตเพียงแค่ 600 คันทั่วโลก ในรูปแบบลิมิเต็ท อิดิชั่น ส่งผลให้มันถูกจับจองทันทีที่ออกขาย ทั้งจากพวกคนรวยบ้ารถแรงรวมถึงบรรดาทีมแข่งทั่วโลก เครื่องยนต์สูบนอนแบบ 6 กระบอกสูบ ปริมาตรความจุ 3996 ซีซี มีม้ามากถึง 495 ตัว บนอัตราเร่ง 0-100 ใน 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 193 ไมล์ต่อชั่วโมง กับราคาค่าตัวที่ 128,466 ปอนด์ ในประเทศอังกฤษ

Peugeot 308 E-HDI
น่าตาท่าทางและเรือนร่างของรถ Peugeot ในยุคใหม่ดูสวยงามลงตัวไปทุกสัดส่วน นี่คือรถเล็กในรหัส 308 แบบ 5 ประตูที่ยอดเยี่ยมของทวีปยุโรป กระจังหน้า ไฟหน้า และช่องรับอากาศเข้าขนาดยักษ์ ทำให้มันดูโหดกว่ารุ่นเดิมแบบเห็นๆ ภายในยังคงเน้นรูปแบบของรถ Peugeot เอาไว้อย่างเหนียวแน่นเช่นพวงมาลัย หน้าปัด และชุดคอนโซล ที่มองดูแว้บเดียว ก็รู้ทันทีว่ามันคือยนตกรรมจากค่าย Peugeot เจ้า 308 E-HDI ใช้เครื่องยนต์ลูกผสมเบนซินบวกมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้มันกลายเป็นรถ Hybrid ที่มีความประหยัดเป็นจุดขายที่แข็งแกร่ง ระบบส่งกำลังใช้เกียร์ไฟฟ้า EGC พัฒนาโดยบริษัทระบบส่งกำลังชั้นนำของยุโรป ที่จับมือกับบริษัท Peugeot ในการวิจัยระบบส่งกำลังรุ่นใหม่ๆ ที่สามารถทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าได้ดี ระบบ Stop-Start ก็มีติดตั้งให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในการลดการปล่อยมลภาวะ บนราคาค่าตัวที่ 19,515 ปอนด์ วางขายแล้วในฝรั่งเศสและยุโรปในช่วงฤดูร้อนนี้

Volkswagen Golf Cabriolet
การกลับมาอีกครั้งของรถเปิดหลังคา ราคาประหยัด จาก VW นี่คือรถ Golf ที่ยังคงสไตล์อนุรักษ์นิยมเอาไว้อย่างเหนียวแน่นด้วยหลังคาผ้าใบพับเก็บด้วย ชุดมอเตอร์หลังคา เมื่อพับเก็บจะทำให้มีมุมมองที่เปิดโล่งแบบ Roadster แต่มันมีเครื่องยนต์ที่ไม่แรงมากเท่าใดนัก แค่เพียงพอต่อการใช้งานในรุ่นปกติ ผู้ขับสามารถกดสวิชท์พับหลังคาที่ระดับความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ โดยไม่ต้องจอดรถให้เสียเวลา และมีที่เก็บกระเป๋าเดินทางที่ฝาท้ายกว้างถึง 250 ลิตร เครื่องยนต์ของเจ้า Golf เปิดประทุนคันนี้เป็นเครื่อง 4 กระบอกสูบ 1.2 ลิตร 105 แรงม้าไปจนถึงรุ่นสูงสุดที่วางเครื่อง 4 สูบ 2.0 ลิตร 201 แรงม้า เครื่องยนต์มีให้เลือกใช้ทั้งเครื่องเบนซินและดีเซล รุ่นท็อปสุดเป็นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เบนซิน 210 แรงม้ารหัส GTi ที่ให้เรี่ยวแรงสมน้ำสมเนื้อกับน้ำหนักตัวมากที่สุด ราคาประมาณ 2.9 หมื่นปอนด์ ออกวางจำหน่ายในยุโรปแล้ว.


วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

LAMBORGHINI AVENTADOR LP 700/4

อัตราเร่ง 0-100 ใน 2.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 209 ไมล์ต่อชั่วโมงบนราคาค่าตัว 247,667 ปอนด์ นี่คือ Lamborghini ที่มีความสุดขั้วมากที่สุดนับจากการสร้างรถซุปเปอร์คาร์ในประวัติศาสตร์ของ ค่ายกระทิงเปลี่ยว...

Lamborghini Aventador LP 700/4 จักรกลซุปเปอร์คาร์คันล่าสุดจากค่ายกระทิงผยอง มันถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของเหล่าอภิมหาเศรษฐีที่ชื่นชอบความ สุดขั้วบนท้องถนน นับจากการสร้างรถรุ่น Miura ในปี 1967 ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสปอร์ตคาร์เครื่อง V12 วางกลางที่ประทับตราสัญลักษณ์วัวเปลี่ยวได้อย่างเต็มภาคภูมิ รถสปอร์ตเครื่องวางกลางคันแรกของค่ายนี้มีอัตราเร่ง 0-100 ใน 6.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 163 ไมล์ต่อชั่วโมง ถัดมาเป็นรุ่น Countach ที่สืบสานตำนานแห่งความเร็วและแรงในยุค 1974 กับตัวเลข 0-100 ที่ 5.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 174 ไมล์ต่อชั่วโมง ตามติดมาด้วยผลิตภัณฑ์ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการทำความเร็วในตัวรถ รุ่น Diablo ของปี 1987 กับสถิติ 0-100 ใน 4.1 วินาที ความเร็วตีนปลายวัดได้ 202 ไมล์ต่อชั่วโมง และสุดท้ายก่อนการถือกำเนิดของเจ้าวัวเปลี่ยว Aventador นั่นก็คือซุปเปอร์คาร์รุ่น Murcielago กระทิงบ้าพลังที่มีแรงม้าท่วมท้นถึงเกือบ 700 แรงม้าในรุ่นสูงสุด (SV-670 แรงม้า) บนอัตราเร่ง 0-100 ใน 3.7 วินาที กับความเร็วสุดปลายคันเร่งที่ 205 ไมล์ ต่อชั่วโมง แรงจนแทบจะเฉียดเข้าไปใกล้เส้นแบ่งเขตแดนของสวรรค์กับนรกกันเลยทีเดียว
การวิจัยโครงสร้างด้วยวัสดุคาร์บอนคอมโพสิตที่มีการทำงานร่วมกัน ระหว่างวิศวกรของบริษัทผลิตอากาศยานชั้นนำอย่าง Boeing ทำให้เทคโนโลยีห้องโดยสารแบบกล่องกับเฟรมตัวถัง รวมถึงโครงสร้างทั้งหมดที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ของ Aventador มีความก้าวล้ำกว่าสปอร์ตซุปเปอร์คาร์ที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ส่วนบนของตัวรถ เช่น หลังคาใช้กรรมวิธีการผลิตแบบ Preqreg เพื่อความแข็งแกร่ง ห้องโดยสารขึ้นรูปด้วยกรรมวิธี RTM-Lambo ด้วยการนำเอาแผ่นคาร์บอนเคฟล่าห์มาตัดแล้ววางลงในแม่พิมพ์ให้เป็นรูปร่างที่ ต้องการ โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์มีความแข็งแรงมากกว่าเหล็ก ช่วยปกป้องคนขับและผู้โดยสารหากเกิดการชนปะทะ ชิ้นส่วนโครงรถด้านหน้ายึดติดกับโครงสร้างด้วยอีพ็อกซี่ ส่วนที่เป็นโลหะในชุดโครงสร้างด้านหน้าถูกเชื่ิอมต่อจนเป็นชิ้นเดียวกัน แชสซีส์ขึ้นรูปแบบชิ้นเดียวทนทานต่อสภาวะแรงบิดที่กระทำต่อโครงสร้างของรถ รวมถึงการใช้โช๊คอัพวางแบบแนวนอนหรือ Post Rod Suspension เพื่อลดพื้นที่การวางตำแหน่งของระบบรองรับที่สามารถปรับค่าได้ถึง 3 ระดับ ใช้โช๊คอัพและสปริงของค่าย Ohlins
รูปแบบของการเปิดประตูใช้การเปิด-ปิดแบบทรงกรรไกร บานประตูจะสวิงออกด้านข้างเล็กน้อย ทำให้สามารถเข้าออกรถได้อย่างสะดวก ประตูในลักษณะดังกล่าวยังเอื้อประโยชน์ให้กับช่างเทคนิคที่ทำการออกแบบชิ้น งานกระจกประตูที่ไม่มีกรอบ เมื่อทำการปิดบานประตูกระจกจะผนึกตัวเองเข้ากับยางของประตูแบบแนบแน่น ซุ้มล้อมีแนวคอดและโป่งกลมกลืนไปกับงานตัวถังที่ละเอียดงดงาม ล้ออัลลอยลาย 5 ก้านที่มีขนาดความกว้างของล้อคู่หลังมากถึง 20 นิ้ว ห่อรัดเอาไว้ด้วยยาง Pirelli P-Zero Corsa ที่มีหน้ากว้างถึง 335 มิลลิเมตร ช่องรับอากาศที่ด้านข้างของตัวถังใช้แนวทะแยงของเส้นคมๆ ลากไปจนจรดกับซุ้มล้อหลัง ดูเป็นสันเหลี่ยมที่มีความสมดุลกับแนวหลังคาและชายล่างของตัวถังด้านข้าง มุมมองที่ดูคล้ายกับอากาศยานทางทหาร ส่งให้มันกลายเป็นรถยนต์ที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดในปี 2011
Cockpit ของ LP 700/4 กลายเป็นอีกหนึ่งในนวัตกรรมล้ำอนาคต บนงานประกอบในระดับสูงสุดของค่าย Audi ที่เข้ามาควบคุมกิจการของ Lamborghini เมื่อสิบกว่าปีก่อน อุปกรณ์ที่โดดเด่นมากที่สุดภายในห้องโดยสารของเจ้าวัวเปลี่ยว Aventador คือหน้าปัดมาตรวัดแบบ Virtual Instrument คล้ายกับหน้าจอควบคุมของยานอวกาศ จอทรงกลมขนาดใหญ่สามารถเลือกแสดงภาพเป็นมาตรวัดรอบหรือมาตรวัดความเร็ว พร้อมไฟแจ้งเตือนสารพัดสี งานดีไซน์กรอบหน้าปัดทรงกระบอกที่ห่อหุ้มสอดรับกับชุดคอนโซลกับวงพวงมาลัย แบบ 3 ก้าน เบาะปรับระดับด้วยไฟฟ้าช่วยอำนวยความสะดวกในสรีระของผู้ขับ ตำแหน่งของก้านไฟเลี้ยวยังคงอยู่ที่เดิมเหมือน Murcielago เช่นเดียวกับก้านควบคุมการทำงานของใบปัดน้ำฝน หลังวงพวงมาลัยยังมีแป้นแพดเดิลเพื่อปรับเปลี่ยนอัตราทดเกียร์บนชุดเกียร์ กึ่งอัตโนมัติ ISR-Indepdent Shiffing Rod ชุดปุ่มเกียร์ถอยกับสวิตช์ปรับโหมดแมลนวล-ออโต้ถูกวางตำแหน่งอยู่กึ่งกลาง คอนโซลซุ้มเกียร์ (แต่ไม่มีแท่งเกียร์เหมือนกับ Murcielago) ตามด้วยฝาปิดโลหะสีแดงสำหรับสวิตช์สตาร์ทเครื่องยนต์
เครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร วางตำแหน่งเอาไว้ที่กลางลำตัว เป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการพัตนาโดยนำข้อดีของเครื่องรุ่นเก่ามาปรับปรุง ให้ดีขึ้น ทั้งในย่านของกำลังแรงบิดกับขนาดที่กะทัดรัดมากขึ้น รวมถึงน้ำหนักของเครื่องรุ่นใหม่ตัวนี้ก็ยังลดลงถึงกว่า 18 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ของ Murcielago กระบอกสูบทั้ง 12 ตัว ในเครื่องยนต์ของ Aventador วางทำมุม 60 องศา และวางอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเครื่องตัวเก่า 70 มิลลิเมตร เพื่อลดค่า CG-Center Of Gravity มีรอบการหมุนสูงสุดที่ 8,250 รอบต่อนาที ให้กำลังสูงสุดที่ 690 แรงม้า และมีแรงบิดสูงกว่าเครื่องตัวเก่าของ Murcielago อยู่ถึง 32 ปอนด์-ฟุต (509 ปอนด์-ฟุต) อัตราเร่ง 0-100 ใน 2.9 วินาที ทำงานโดยส่งถ่ายแรงบิดทั้งหมดไปยังชุดเกียร์ 7 สปีดรุ่นใหม่ บนการกระดิกแป้นแพดเดิลหลังพวงมาลัย การไม่เลือกใช้เกียร์แบบทวินคลัตช์ ช่วยให้น้ำหนักและขนาดของเกียร์ทั้งลูกลด ลงรวมถึงตำแหน่งของการวางที่เกียร์ทั้งลูกจะอยู่ด้านหน้าเครื่องยนต์ ทำให้ไม่สามารถเลือกใช้เกียร์แบบคลัตช์คู่ได้ แต่ระบบ ISR หรือ ISR-Indepdent Shiffing Rod ได้เข้ามาทดแทนสมรรถนะของเกียร์ทวินคลัตช์อย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบ การใช้ Shift Rod คนละตัวสลับการทำงานในเกียร์ถัดไป ทำให้เกียร์สามารถเริ่มต้นการทำงานในขณะที่เกียร์ก่อนหน้ากำลังจากออกมาจาก ชุดเฟือง ลดเวลาการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ลงอีก 50 ms เร็วกว่าระบบ E-Gear ของรถ Gallardo ประมาณ 40%
วิศวกรรมโครงสร้างแบบใหม่ให้ความแข็งแกร่งมากขึ้น แต่ก็ส่งผลไปยังระบบรองรับที่กระด้่างมากขึ้นตามไปด้วย ช่วงล่างแบบ Post Rod Suspension ทำให้วิศวกรของ Lamborghini ต้องลดความแข็งของสปริงและโช๊คอัพลง การวางตำแหน่งโช๊คอัพแบบแนวนอน ช่วยทำให้สมรรถนะของการควบคุมตัวรถ Aventador อยู่ในระดับเดียวกันกับรถแข่ง Class- GT2 ความกว้างของตัวถังทีี่ 2030 มิลลิเมตรยังช่วยให้ด้านหน้าของมันดูแบนและเตี้ยต่ำแบบสุดๆ Lamborghini Aventador LP 700/4 คือจักรกลซุปเปอร์คาร์ที่เข้ามาเติมแต่งประวัติศาสตร์ของรถ Lamborghini เครื่องยนต์ V12 ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากที่สุดแล้วในช่วงเวลานี้ บนการบังคับควบคุมที่โดดเด่นเหนือกว่ารถ Lamborghini ทุกรุ่นเท่าที่เคยผลิตออกมา งานประกอบชิ้นส่วนทั้งภายในและภายนอกมีความปราณีตในระดับสูงสุด ราคาค่าตัว 247,667 ปอนด์ (ยังไม่รวมภาษีนำเข้า) แพงกว่ารุ่นเก่าถึง 50,000 ปอนด์ และถูกตั้งเป้าหมายในการผลิตออกขายต่อปีแค่ 600 คันเท่านั้น

เมื่อ เปรียบเทียบกับรถคู่แข่งแล้ว มันดีกว่าทั้งในด้านมุมมอง การทำความเร็ว สมรรถนะ น้ำหนัก ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังซึ่งกำลังส่งผลให้มันกลายเป็น Super-Car Of The Year 2011 อย่างแน่นอน.


วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เทียบ2เก๋งดีเซล ครูซVSโฟกัส

เทียบจะจะ! 2เก๋งขุมพลังดีเซล เชพโรเลต ครูซ VS ฟอร์ด โฟกัส ค่ายไหนน่าใช้กว่ากัน
โดย...ทีมข่าวยานยนต์ Posttoday
แม้ว่าตลาดรถยนต์นั่งเครื่องยนต์ดีเซลจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายใน หลายประเทศทั่วโลก แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ต้องยอมรับว่ายังไม่สามารถเบียดแย่งชิงเข้ามาได้มากนัก เนื่องจากภาพลักษณ์ยังเป็นรองเครื่องยนต์เบนซินอยู่พอสมควร
แถมที่มีเข้ามาทำตลาดก็ดันราคาแพงตามราคาเครื่องยนต์ กลายเป็นรุ่นท็อปของแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อไปเสียอีก ทำให้ลูกค้าเลือกเป็นเจ้าของได้ยากไปอีก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องทำใจครับ เพราะราคาเครื่องยนต์ดีเซลแพงกว่าเครื่องยนต์เบนซินเห็นๆ แต่หากมองระยะยาวเครื่องยนต์ดีเซลน่าคบหากว่า ทั้งในเรื่องของอัตราความประหยัดและความคงทนของเครื่องยนต์
ฟอร์ดกลายเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์นั่งเครื่องยนต์ดีเซลในประเทศไทย เมื่อตัดสินใจเปิดตัว โฟกัส TDCi ในประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่เชฟโรเลตเพื่อนซี้จากอเมริกาจะเปิดตัว ครูซ ดีเซล ที่มาพร้อมรหัสแอลทีแซด เมื่อปีที่ผ่านมา
จริงๆ แล้วการเปรียบเทียบในครั้งนี้ หากมองแต่หน้าตาและอายุอานาม ก็อาจจะคิดว่าเป็นการเปรียบเทียบคนละช่วงเวลา เพราะฟอร์ด โฟกัส นั้นในตลาดโลกก็เปิดตัวรุ่นใหม่ไปแล้ว และมีคิวที่จะเข้ามาถึงประเทศไทยในช่วงเวลาอีกไม่ถึงปีเสียด้วยซ้ำ ขณะที่เชฟโรเลต ครูซ เป็นโมเดลใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวแบบเอี่ยมอ่องในประเทศไทย
แต่ก็ต้องนำมาเทียบกัน เพราะถือว่าราคาอยู่ระดับ 1 ล้านกว่าบาทเหมือนกัน เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเท่ากัน
แต่เมื่อเอามาจอดเทียบกันจะเห็นความแตกต่างในเรื่องของเวลาอย่างชัดเจน หน้าตาของครูซดูโฉบเฉี่ยวและทันสมัยกว่าโฟกัสอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการออกแบบในแนวทางของรถยนต์ยุคใหม่ ที่ให้อารมณ์พลิ้วไหวมากกว่าอยู่แล้ว
เชฟโรเลต ครูซ มาพร้อมกับรองเท้าขนาด 17 นิ้ว ใหญ่กว่าฟอร์ดที่มาพร้อมกับแม็กขนาด 16 นิ้ว อุปกรณ์ภายนอกพื้นฐานมีกันอย่างสูสี แต่ฟอร์ดให้ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้างมาด้วย แต่ครูซไม่มี แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่

ภายในโฟกัส
แต่ความแตกต่างเริ่มเห็นกันชัดๆ ตั้งแต่ก้าวเข้าไปในรถ โดยเชฟโรเลต ครูซ มาพร้อมระบบกุญแจ Keyless ที่ทำให้การเปิด-ปิดประตู และสตาร์ต-ดับเครื่องยนต์ ทำได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนที่ขี้เกียจหยิบกุญแจขึ้นมากดปุ่มเปิดประตู เสียบกุญแจสตาร์ตเครื่อง ในขณะที่เจ้าของฟอร์ด โฟกัส ต้องกดรีโมตเปิด-ปิดประตู และบิดกุญแจเพื่อสตาร์ต
เปิดประตูพุ่งเข้ามานั่งในรถ ความแตกต่างในเรื่องของกาลเวลายิ่งชัดเจน เพราะภายในของฟอร์ด โฟกัส ยังเป็นแนวทางการออกแบบในเชิงอนุรักษนิยม แต่ก็มีอุปกรณ์การใช้งานที่จำเป็นเข้ามาในรถอย่างครบครัน ทั้งระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล มีแป้นควบคุมเครื่องเสียงที่ด้านหลังพวงมาลัย การตกแต่งทั้งหมดเป็นโทนสีเงินตัดกับเทา
ขณะที่เชฟโรเลต ครูซ มาพร้อมกับแนวคิดในการออกแบบรถยนต์แบบใหม่ ห้องโดยสารมีเส้นสายสวยงามและดูเข้ารูปกับผู้ขับขี่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด อุปกรณ์ที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือระบบดิจิตอลทั้งสิ้น ส่วนของเล่นที่ติดมากับรถก็มีเยอะแยะมากมาย จนไม่สามารถลองเล่นให้ได้ทั้งหมดในเวลาไม่กี่วันที่ยืมมาทำการทดสอบ
สตาร์ตเครื่องยนต์แล้วเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มไม่แพ้กันครับ ขับไปไหนมาไหนผ่านคนที่ยืนอยู่บนฟุตปาทแล้ว เห็นทำสีหน้าตกใจพอพอกัน แต่การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารถือว่าทำได้ในระดับใกล้เคียงกันครับ ไม่แตกต่างกันมาก เปิดเพลงฟังกลบได้สบายๆ
อุปกรณ์ที่ติดตั้งมาในครูซในเรื่องของการ ขับขี่ ถือว่ามีมาให้อย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ หรือแม้แต่ระบบอำนวยความสะดวกอย่างช่องต่อยูเอสบี ขณะที่อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยมีมาให้อย่างสูสี ในส่วนของระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศดิจิตอล หรือจอบอกข้อมูลที่เห็นกันอย่างชัดเจน นั่นคือข้อดีชัดๆ ของเชฟโรเลต ครูซ
แต่สิ่งที่ฟอร์ด โฟกัส ดูดีกว่าก็มี นั่นคือ “การขับขี่” ครับ เพราะดูเหมือนว่าเจ้าเครื่องยนต์ TDCi ที่จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ เพาเวอร์ชิฟต์ 6 สปีด จะทำงานอย่างกระตือรือร้นและพร้อมที่จะออกตัววิ่ง มากกว่าเครื่องยนต์ดีเซลและเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดของครูซ อย่างเห็นได้ชัด
หากเป็นผู้ขับขี่แบบทั่วไปที่ไม่เน้นการเร่งแซงเป็นหลัก การขับขี่ของทั้งครูซและโฟกัสถือว่าดีแบบเสมอภาคครับ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ต้องการรีดเค้นกำลังของรถให้ออกมาอย่างรวดเร็ว เกียร์เพาเวอร์ชิฟต์ของฟอร์ด ก็ยังคงความเป็นเกียร์เทพที่เหนือชั้นกว่าหลายขุม พารถพุ่งทะยานไปได้อย่างไม่ยากลำบาก

ภายในครูซ
นอกจากเรื่องเกียร์ที่เหนือกว่าแล้ว ความรู้สึกในการขับขี่โดยรวม ฟอร์ด โฟกัส ให้อารมณ์การขับขี่ที่สนุกกว่าครับ อันนี้ไม่ได้มองในแง่ของสมรรถนะเป็นหลัก แต่มองที่ความรู้สึกของการขับขี่ แน่นอนว่า เราอาจจะขับรถ 2 คันนี้ด้วยความเร็วที่ไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก แต่อาจจะเป็นเพราะครูซถูกเซตมาโดยเน้นไปที่เรื่องของความสะดวกสบายเป็นหลัก ทำให้ตัวรถได้อารมณ์ที่แตกต่างกันพอสมควร
ฟอร์ดวางราคาจำหน่าย โฟกัส TDCi ไว้ที่ 1.169 ล้านบาท แพงกว่าเชฟโรเลตที่ตั้งค่าตัวครูซเอาไว้ที่ 1.165 ล้านบาทเล็กน้อย ต้องถามตัวเองให้ดีว่าอยากได้อะไรละครับ นอกเหนือจากรถยนต์นั่งเครื่องยนต์ดีเซลแล้ว อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ หรือความสนุกสนานในการขับขี่ เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อรถของคุณมากกว่ากัน
หรือถ้าเกิดยังเลือกตอนนี้ไม่ได้ ลองดูกันไปเรื่อยๆ ครับ ฟอร์ดมีแผนที่จะเปิดตัวโฟกัส ใหม่ รุ่นที่จะใช้โรงงานผลิตในประเทศไทยในช่วงกลางปี 2555 ขณะที่เชฟโรเลตเอง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ที่มีข่าวลือว่าจะนำมาติดตั้งในครูซ ก็น่าจะออกมาในช่วงเวลาที่ไม่แตกต่างกันมากกับการเปิดตัวของโฟกัสใหม่
ถ้าตอนนี้ยังเลือกไม่ได้ ใช้รถเก่าไปอีกสักปี รอเวลาตัดสินใจซื้อรุ่นใหม่ปีหน้าไปเลยก็ยังไม่สาย!!!

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

HYUNDAI THAILAND พาลุย HYUNDAI DESIGN CENTER

Pic_189184

บริษัท Hyundai Motor Thailand นำทีมโดยมิสเตอร์โยชิอากิ อิชิมูระ CEO Hyundai Motor Thailand และคุณสฤษฎ์พร สกลรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดและวางแผนผลิตภัณฑ์ พร้อมด้วยทีมงาน PR Hyundai พาสื่อมวลชนกว่า 40 ชีวิตบินลัดฟ้าสู่สาธารณรัฐเกาหลีเพื่อเข้าเยี่ยมชมเทคโนโลยีล่าสุดในสำนัก ออกแบบรวมถึงโรงงานถลุงเหล็กขนาดยักษ์ของ Hyundai Group...


สิ่ง แรกที่ผมเห็นจากหน้าต่างของรถทัวร์ที่เจ้าหน้าที่ของ Hyundai Group จัดหามาให้ในการตระเวณเที่ยวเกาหลีตลอดระยะเวลา 4 วัน คือ รถยนต์ยี่ห้อ Hyundai และ KIA วิ่งกันให้เกลื่อนถนนหนทางในประเทศเกาหลีใต้ เพราะที่นี่คือบ้านเกิดเมืองนอนของยนตกรรมทั้งสองค่าย กว่า 80 %ของจำนวนยวดยานบนท้องถนน คือรถยนต์ที่มีสัญชาติกิมจิทั้งหมด อาจดูแปลกตาไปบ้างเมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเมืองอื่นที่ผมเคยไป แม้แต่รถทัวร์นั่งนิ่มสบายก้นคันนี้ ก็ยังประทับตรา Hyundai ส่วนภายนอกนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถซีดาน รถสปอร์ต รถซิตี้คาร์ หรือแม้แต่รถบรรทุกหัวลากตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ ที่วิ่งสวนไปมาล้วนแล้วแต่ผลิตในประเทศนี้ทั้งสิ้น

Hyundai Motor Thailand เชิญสื่อสารมวลชนสายยานยนต์กว่า 40 ชีวิตในกรุ๊ปแรก ซึ่งมีทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์ พาบินข้ามทะเลแปซิฟิคโดยใช้เวลาบินถึงกว่า 5 ชั่วโมง ไปยังประเทศเกาหลีใต้ เพื่อเข้าชมศูนย์ออกแบบและทดสอบยนตกรรมของบริษัท Hyundai หรือ Hyundai Design Center รวมถึงเข้าเยี่ยมชมโรงงานหล่อเหล็กและแปรรูปเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ หรือ Hyundai Steel เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ขององค์กรที่กำลังก้าวไป พร้อมกับเทคโนโลยีล้ำอนาคต สิ่งที่พนักงานของบริษัทแห่งนี้กำลังทำและทำมันอย่างมุ่งมั่นคือ การสร้างยนตกรรมที่ให้ประโยชน์ใช้สอยกับมนุษย์ได้อย่างสูงสุด โดยใช้รูปทรงและสมรรถนะผสมผสานกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ของรูปลักษณ์แบบรถในอนาคต ได้อย่างลงตัว ถ่ายทอดออกมาเป็นยานยนต์หลากหลายรูปแบบ ด้วยดีไซน์ที่เปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้ หากไม่ติดตราสัญลักษณ์รูปตัว H สิ่งต่างๆ เหล่านี้กำลังจะเปลี่ยน Hyundai Moter ให้ก้าวขึ้นไปเทียบเคียงบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากยุโรปในอีกไม่นานนี้อย่าง แน่นอน

รถโค้ชของคณะสื่อมวลชนจากประเทศไทย ใช้เวลาเดินทางจากกรุงโซลไปนัมยาง ดีไซน์ เซ็นเตอร์ ในเมืองฮวาซอง ประเทศเกาหลีใต้ กว่า 3 ชั่วโมงในการวิ่งออกจากตัวเมืองในเช่วงเช้าของวันที่ 12 กรกฏาคม 2554 ท่ามกลางสภาพการจราจรอันแออัดคับคั่งของเมืองใหญ่ที่เหมือนกันหมดทั่วทุกมุม โลก เมื่อก้้าวเข้าสู่ตัวอาคารสำนักงาน ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 200,000 ตารางฟุต ยังไม่รวมพื้นที่ที่ใช้ในการทดสอบการวิ่ง ในสภาวะและสภาพเส้นทางที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงพื้นที่ที่ใช้ทดสอบการชนปะทะ เพื่อประเมินระบบความปลอดภัยของตัวรถ ลานจอดรถกว้างขวางสุดลูกหูลูกตาของศูนย์ Design Center มีรถต้นแบบจอดรอทดสอบอยู่อีกเพียบ รถทดสอบ Hyundai-KIA เหล่านี้ทุกคัน ถูกพรางรูปทรงภายนอกด้วยแผ่นพลาสติกสีดำ มีทั้งที่กำลังวิ่งอย่างเต็มกำลังในลู่ทดสอบความเร็ว อีกส่วนหนึ่งซึ่งดูแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 10 คัน กำลังวิ่งตามกันมาเป็นขบวน เพื่อฝ่าเข้าไปในทางขรุขระแบบเนินลูกระนาด สำหรับทดสอบระบบรองรับ
เมื่อ ผมกวาดสายตามองออกไปในกลุ่มรถยนต์ที่จอดอยู่ ก็มองเห็นยนตกรรมชั้นนำระดับพรีเมียมของยุโรป จอดอยู่นับสิบคัน ซึ่งมีทั้ง BMW/ Mercedes Benz /Audi /Volvo /Volkswagen ตอนแรกคิดว่าเป็นรถยนต์ของพนักงาน แต่เมื่อผมถามเจ้าหน้าที่ของ Hyundai ด้วยความสงสัยว่า รถเหล่านั้นเป็นของใคร คำตอบที่ได้รับคือ รถหรูของยุโรปที่เห็นจะถูกนำมาทดสอบเปรียบเทียบ รวมถึงการชำแหละดูส่วนประกอบทั้งภายในและภายนอกทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่กล่อง ECU เพื่อทำการเก็บเป็นข้อมูลในการสร้างผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ของ Hyundai ต่อไป

เจ้าหน้าที่ต้อนรับของ Hyundai Design Center พาคณะสื่อมวลชนทั้งหมดเข้าไปยังห้องบรรยาย เพื่อกล่าวต้อนรับและสรุปภาพรวมของการทำงานในแต่ละแผนกภายในศูนย์ออกแบบที่ ทันสมัยแห่งนี้ ที่นี่คือจุดกำเนิดของรูปทรงล้ำอนาคตบนผลิตภัณฑ์ที่ใช้แนวคิดครอบคลุม ทั้งการใช้งานประสานไปกับสมรรถนะและประสิทธิภาพ บริษัท Hyundai ในยุคใหม่มีศูนย์ออกแบบรถยนต์กระจายตัวไปทั่วโลกทั้งที่ยุโรป สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่นและอินเดียโดยใช้นัมยาง ดีไซน์ เซ็นเตอร์ ในเมืองฮวาซอง ประเทศเกาหลีใต้ เป็นจุดศูนย์กลางในการรังสรรค์ยานยนต์ต้นแบบและรถทดสอบก่อนส่งเข้าไลน์การ ผลิตจริงของ Hyundai Motor ขั้นตอนการออกแบบยนตกรรมจะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ยังเป็นหุ่นดินเหนียวไปจนถึง การประกอบเป็นรถต้นแบบทั้งคันแล้วนำออกไปวิ่งทดสอบงานทั้งหมด จะผ่านกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรมโครงสร้างด้วยระบบคอมพิวเตอร์ประมวลผลรุ่น ก้าวหน้า โครงแซสซีส์ ช่วงล่าง ระบบส่งกำลัง ระบบเบรค ระบบความปลอดภัย ระบบอีเล็คทรอนิกส์ไปจนถึงการออกแบบภายในห้องโดยสาร เชื่อมโยงการใช้งานของมนุษย์กับรูปทรงภายในของห้องโดยสาร เพื่อกำหนดตำแหน่งของอุปกรณ์ภายใน โทนสี และวัสดุที่ใช้ห่อหุ้ม และเมื่อเสร็จเป็นรูปเป็นร่างแล้ว รถต้นแบบคันนั้นจะเข้าสู่การทดสอบระบบอากาศพลศาสตร์ในอุโมงค์ลมขนาดยักษ์ที่ Hyundai Motor ลงทุนมหาศาลด้วยการสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ภายในศูนย์ออกแบบแห่งนี้ เมื่อได้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศในระดับที่น่าพอใจแล้ว รถต้นแบบรุ่นนั้นจะโดนทดสอบซ้ำๆ ด้วยการแผ่สนามแม่เหล็กเพื่อดูการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างที่ มีการรบกวนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในสภาพการใช้งานจริง

วิศวกรออกแบบยานยนต์ ซึ่งมีทั้งอังกฤษ อเมริกัน อิตาเลียน และญี่ปุ่น ในศูนย์ Hyundai Design Center จะทำงานประสานกันตามลักษณะของหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย แผนกออกแบบทั้งหมด จะร่วมงานกับวิศวกรของระบบต่างๆ ในการเชื่อมโยงกลไกบังคับควบคุมรถยนต์ทั้งคัน ให้เข้ากันกับรูปลักษณ์ของดีไซน์แบบล่าสุด การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ในการขับเคลื่อนของโลกยนตกรรมแห่งอนาคต เมื่อพลังงานน้ำมันเริ่มลดน้อยลง ได้กลายเป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่บริษัทผลิตรถยนต์จากเกาหลีแห่งนี้เล็งเห็น ค่าย Hyundai กำลังทดสอบอย่างหนักกับรถยนต์ต้นแบบพลังงานไฮดรอเจน หลังจากประสบความสำเร็จในการส่งรถ Sonata Hybrid รุ่นล่าสุด ออกไปทำตลาดทั้งในยุโรป อเมริกา รวมถึงในแผ่นดินเกิด นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการวิจัยยานยนต์ต้นแบบที่บริษัท Hyundai กำลังทำอยู่ จะไล่ตามกลุ่มค่ายรถขนาดยักษ์ของทวีปยุโรปได้ทันในอีกไม่ช้านี้อย่างแน่นอน ความมุ่งมั่นและต้องการเอาชนะของชนชาติเกาหลี จะคอยเป็นแรงผลักดันที่จะส่งไปยังภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศนี้ ให้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

อุโมงค์ลมที่ใช้ทดสอบค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานของอากาศในรถต้นแบบ ถูกสร้างขึ้นตามมาตรฐานของศูนย์วิจัยด้านระบบแอร์โรไดนามิกส์ทั่วโลก มันใช้กังหันใบพัดเครื่องยนต์เทอร์ไบน์ขนาดยักษ์ ที่สามารถสร้างความเร็วของลมได้ในระดับพายุเฮอริเคนที่กว่า 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผนังทุกด้านหุ้มด้วยวัสดุซับเสียงชั้นเยี่ยม เพื่อทดสอบการสะท้อนของคลื่นเสียงในระหว่างที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน รวมถึงอุปกรณ์ในการสร้างการแผ่รังสี หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในระดับต่างๆ รถต้นแบบที่ประกอบเสร็จแล้ว จะถูกนำไปวิ่งทดสอบ อีกส่วนหนึ่งจะเข้าสู่กระบวนการทดสอบการชนปะทะ เพื่อดูเรื่องของความปลอดภัยในโครงสร้างของตัวถัง การทดสอบการชน มีทั้งการดันรถต้นแบบให้ชนกับแท่งคอนกรีตในลักษณะหรือในมุมที่แตกต่างกันออก ไปทั้งคัน การจับรถทั้งคันมาพลิกด้วยความเร็วที่ประเมินจากการใช้งานจริงเมื่อเกิด อุบัติเหตุ ระยะการยุบตัวของโครงรถ ระบบถุงลมกับม่านนิรภัยและค่าแรงจีที่วัดได้จากหุ่นทดสอบภายในห้องโดยสาร จะถูกบันทึกเพื่อนำมาประมวลผลในการออกแบบโครงสร้างให้มีความแข็งแรงมากยิ่ง ขึ้น

หลังจากรัปประทานอาหารกลางวันที่จัดเลี้ยงโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Hyundai Design Center เสร็จเรียบร้อยแล้ว พลพรรคสื่อมวลชนจากประเทศไทยก็ออกเดินทางต่อ เพื่อไปยังโรงงานถลุงเหล็กของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตเหล็กแปรรูปขนาดยักษ์ Hyundai Steel ที่แห่งนี้คือโรงงานที่นำแร่เหล็กจากทุกส่วนของโลก กับเศษเหล็กที่ผ่านการใช้งาน มาแปรรูปเป็นแผ่นเหล็กเพื่อส่งออกไปยังโรงงานประกอบรถยนต์ อู่ต่อเรือเดินสมุทร รวมถึงเหล็กที่ใช้ในงานก่อสร้างใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศเกาหลี โรงงานแห่งนี้มีท่าจอดเรือน้ำลึกกับเครนขนาดยักษ์รวมอยู่ด้วย เพื่อตักเอาสินแร่เหล็กจากเรือขนแร่ที่เข้ามาเทียบท่าแล้วนำมาเก็บไว้ในไซโล รูปโดม
ไซโลเก็บสินแร่เหล็กดังกล่าว มีขนาดความกว้างเกือบเท่ากับสนามราชมังครากีฬาสถาน ห่อหุ้มอย่างมิดชิดเพื่อป้องกันน้ำฝนด้วยโดมทรงครึ่งวงกลมสูงลิบ ตรงใจกลางไซโล มีเครนยักษ์คอยตักแร่เหล็กที่กองเป็นภูเขา เพื่อนำเข้าสู่เตาหลอม ความใหญ่โตมโหฬารของโดมไซโลเก็บสินแร่ ทำให้ผมกับคณะถึงกับอึ้ง เจ้าหน้าที่ของ Hyundai Steel คอยอธิบายถึงขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียด เท่าที่สังเกตดู โรงงานถลุงและแปรรูปเหล็กของ Hyundai แห่งนี้ จะเน้นไปที่ระบบความปลอดภัยในการทำงานเป็นสำคัญ การทำงานในแต่ละขั้นตอน จะใช้พนักงานควบคุมเครื่องจักรเพียงไม่กี่คน ซึ่งหมายความว่า งานส่วนใหญ่จะใช้เครื่องมือกลไกขนาดยักษ์ในสายการผลิต ที่ผ่านการควบคุมด้วยระบบอิเล็คทรอนิกส์มากกว่าจะใช้แรงงานจากมนุษย์

ในห้องบรรยาย วิศวกรของ Hyundai ชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการผลิตเหล็กคุณภาพ เพื่อป้อนให้กับภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยทำให้เหล็กที่ใช้ประกอบรถยนต์มีความบางเพิ่มขึ้น แต่ยังคงความแข็งแกร่งเหนียวแน่นทนทาน เพื่อลดมวลน้ำหนักของยานยนต์ จาก Hyundai คุณภาพของเหล็กที่ออกจากโรงงานแห่งนี้ ซึ่งมีทั้งแบบแผ่นม้วน แบบแท่งรูปตัวไอหรือแบบเส้น จะอยู่ในระดับมาตรฐาน โดยผ่านการควบคุมอย่างเข้มงวดในทุกขั้นตอนของการผลิต
บริษัท Hyundai Steel กำลังดำเนินการภายใต้บทบาทที่สำคัญยิ่งในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรม อื่นๆ ในฐานะบริษัทระดับแนวหน้าภายใต้ร่มธงของกลุ่ม Hyundai Motor ที่มีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดในตลาดอุตสาหกรรมโลก เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำในกระบวนการผลิตเหล็กของ Hyundai Steel หมายรวมถึงวิสัยทัศน์ที่จะก้าวไปพร้อมกับองค์กรที่ได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์ระ ดับท็อปเทนของโลก อย่าง Hyundai-KIA Motor ผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของ Hyundai Group คือความภาคภูมิใจของชนชาติเอเชีย ได้เริ่มต้นขึ้นที่ Hyundai Steel นี่เอง

โรงงานในเมืองอินชอนแห่งนี้ มีพื้นที่ครอบคลุมถึงกว่า 920,000 ตารางเมตร ถือได้ว่าเป็นโรงงานที่ใช้ระบบบำบัดเพื่อให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีกำลังการผลิตเหล็กดิบถึงปีละ 4.5 ล้านตัน รวมถึงการผลิตเหล็กรีดแบบแผ่นอีกถึงปีละ 4.4 ล้านตัน จึงนับได้ว่า Hyundai Steel คือโรงงานที่สามารถรองรับความต้องการเหล็กคุณภาพสูงที่มีความหลากหลายตาม ความพึงพอใจของลูกค้า ส่วนโรงงานที่โปฮัง จะมีเนื้อที่ครอบคลุมทั้งโรงงานกว่า 660,000 ตารางเมตร มีกำลังการผลิตเหล็กดิบปีละ 3.2 ล้านตัน สามารถผลิตเหล็กรีดได้อีก 3.2 ล้านตันต่อปี โรงงานแห่งนี้มีระบบการผลิตเหล็กออกสู่ตลาดได้ราว 80% ของมูลค่าตลาดในประเทศเกาหลีใต้ โปฮังคือโรงงานแห่งแรกของสาธารณรัฐเกาหลี ที่ผลิตเหล็กชั้นดีคุณภาพสูง ที่สามารถนำไปใช้ในโครงการรถไฟความเร็วสูงอีกด้วย

การเข้าเยี่ยมชมศูนย์ออกแบบและโรงงานผลิตเหล็กของ Hyundai Group ในครั้งนี้ ช่วยเพิ่มเติมประสบการณ์ ความรู้ความเข้าใจในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ของเกาหลีได้เป็นอย่างดี ความคิดในการนำคณะสื่อมวลชนของไทยเดินทางไปดูงานในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากทีมผู้บริหารของ Hyundai Group ซึ่งประกอบไปด้วย มิสเตอร์โยชิอากิ อิชิมูระ CEO Hyundai Motor Thailand กับคุณสฤษฎ์พร สกลรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดและวางแผนผลิตภัณฑ์ พร้อมด้วยทีมงาน PR Hyundai ที่ต้องเหนื่อยหนักกับการดูแลต้อนรับในระดับ VIP ให้กับสื่อมวลชนทุกท่านได้รับความสะดวกสบายตลอดการเดินทางทั้ง 4 วัน ในประเทศที่ได้ชื่อว่าสวยงามและน่าเที่ยวมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย