วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556



หมัด เด็ดตราดาว Benz เปิดตัว E-Class Coupe/Cabriolet ชูราคายั่วยวนกวนใจ จนกลืนน้ำลายไม่ทัน กับรุ่นเปิดประทุนที่ควักกันต่ำกว่า 4 ล้านบาทเป็นครั้งแรก!!!!...

ค่าย ตราดาวสามแฉก Mercedes Benz Thailand ประกาศการนำเข้าแบบถูกต้องไร้ข้อกังวล เปิดผ้าคลุมยนตรกรรมหรูในตระกูล E-Class รุ่นใหม่ล่าสุด The new E-Class Coup รถยนต์สปอร์ตคูเป้ และ The new E-Class Cabriolet รถยนต์สปอร์ตเปิดประทุนแบบ 4 ที่นั่ง ภายใต้บรรยากาศความสุขแบบไร้ขีดจำกัด (Uncontrained Pleasure) รูปลักษณ์ดีไซน์ใหม่หมดหัวจดท้าย เน้นความงามบนความดุดัน นำเสนอในแนวสปอร์ตจีที สมรรถนะของเครื่องยนต์และชุดส่งกำลัง นำปรัชญาการออกแบบใหม่ของแบรนด์ที่เน้นความหรูหราและมีความเป็นไลฟ์สไตล์ เฉพาะตัว รถ E-Class Coupe วางเครื่องยนต์เบนซินทรงพลังรุ่นใหม่ เป็นเครื่องสี่สูบแบบ BlueDIRECT พร้อมระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยอีกเพียบ ประสิทธิภาพการขับขี่เน้นระบบความปลอดภัยที่ชาญฉลาด “Mercedes-Benz Intelligent Drive” ในราคาสุดเร้าใจแบบไม่เกรงใจค่ายนำเข้าอิสระ โดยเปิดราคาของ E 200 Coup Sport และ E 200 Coup AMG Dynamic แบบยั่วสุดๆ ที่ 3.79 ล้านบาท ส่วน E 200 Cabriolet AMG Dynamic รถเปิดประทุนของผู้ใหญ่ใจวัยรุ่นที่ราคา 3.99 ล้านบาท ทั้งรุ่นเปิดประทุนและคูเป้ของ E-Class Coup ลูกค้าที่จองสามารถรับรถได้ตั้งแต่เดือน ก.ค.นี้เป็นต้นไป เฉพาะที่ผู้จำหน่าย Mercedes Benz อย่างเป็นทางการ



ดร.อเล็ก ซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท Mercedes Benz Thailand Co,ltd. กล่าวว่า Mercedes Benz E-Class Coup และ Cabriolet ที่นำมาเปิดตลาดในไทยมี 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ E 200 Coup Sport, E 200 Coup AMG Dynamic และ E 200 Cabriolet AMG Dynamic ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่น ความแข็งแกร่ง อารมณ์แบบรถสปอร์ต รูปลักษณ์ที่หรูหรามีความดุดัน และยังใช้เครื่องยนต์ใหม่ที่มีสมรรถนะ และให้ประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีความปลอดภัยสูง E-Class Coup และ Cabriolet เป็นยนตรกรรมที่ได้รับการสร้างขึ้นตามปรัชญาของกอตต์ลีบ เดมเลอร์ ผู้ก่อตั้ง Mercedes Benz ภายใต้สโลแกน “The best or nothing.” รวมทั้งยังเป็นรถที่เข้ามาช่วยเติมเต็มในตระกูล E-Class ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องออปชั่น และราคา นับเป็นการปรับราคาครั้งใหญ่ที่ลูกค้าจะได้รับความคุ้มค่า รวมถึงการส่งมอบรถ ซึ่งลูกค้าสามารถรับรถได้ตั้งแต่เดือน ก.ค. 56 เชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรง หรือผู้บริหารระดับสูงทั้งชายและหญิงที่ชื่นชอบรถยนต์ในสไตล์สปอร์ตปราด เปรียวและคล่องตัว



ดีไซน์ภายนอก
The new E-Class Coup และ Cabriolet โฉมใหม่ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนเด่นชัดที่สุดคือ ที่แผงกระจังหน้าและโคมไฟแบบใหม่ ซึ่งเป็นการรวมเอาฟังก์ชั่นการทำงานของไฟ LED ต่างๆ รวมไว้ในกรอบเดียวกัน และยังมีการนำเทคโนโลยีไฟ LED แบบ fibre-optic มาใช้ด้วย ทำให้ไฟคู่หน้ามีลักษณะแบบ “สี่ตา (four-eyed)” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรถ Mercedes Benz E-Class กระจังหน้าเป็นแบบสปอร์ตมีลาย 1 แถบ พร้อมตราสัญลักษณ์ดาวสามแฉกดวงใหญ่ตรงกลาง กันชนด้านหน้าได้รับการดีไซน์ใหม่เน้นรายละเอียดมากขึ้น พร้อมช่องอากาศขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยโครเมียม ทำให้รถยนต์รุ่นนี้ดูปราดเปรียว โดยรวมแล้วการปรับเปลี่ยนด้านหน้าในรถทั้งสองรุ่นนี้ เน้นมุมมองใหม่หมด ที่ทั้งดุดันและสวยงามไปพร้อมๆ กัน



The new E-Class Coup ส่งมุมมองแบบสปอร์ตจีที 2 ประตูคูเป้ เน้นสัดส่วนฝากระโปรงหน้าเทลาดยาวและลายเส้นด้านข้างตั้งแต่หน้าจรดท้าย รับกับความโค้งมนของเส้นใต้หลังคาของรถสไตล์คูเป้ เน้นความหรูหราและปราดเปรียว ที่โดดเด่นคือไม่มีเสาหลังคากลาง B-Pillar ทำให้บรรยากาศภายในรถดูโปร่งและมีพื้นที่ใช้งานเพิ่มขึ้น หลังคาพาโนรามิคซันรูฟที่สามารถเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า



The new E-Class Cabriolet บนเส้นสายด้านข้างที่มีลายเส้นเน้นแสงเงาตั้งแต่ด้านหน้าจรดท้ายรถ ทำให้เกิดมิติด้านข้างสวยงามและได้สัดส่วน ซึ่งดูแล้วมีความลงตัวกันไปคนและแบบกับรุ่นที่ผ่านมา หลังคาเปิดประทุนแบบผ้า (soft-top) เปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า และสามารถสั่งการทำงานด้วยกุญแจรีโมทคอนโทรล โดยการกางออกหรือพับเก็บ ใช้เวลา 20 วินาที หลังคายังทำงานได้ แม้ขณะรถวิ่งมาด้วยความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โคมไฟคู่หน้าได้รับการออกแบบใหม่ ใช้รูปทรงที่คล้ายคลึงกันกับชุดไฟท้าย โดยรวมชุดไฟ LED ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน เช่น ไฟต่ำ ไฟสูง ไฟเลี้ยว และไฟ daytime ทำให้เกิดลายเส้นกราฟิก นับเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน ที่โคมไฟแบบ LED ได้รับการออกแบบให้อยู่รวมในกรอบเดียวกัน และยังคงเป็นการสื่อถึง “ไฟคู่หน้า” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมของ E-Class ไว้เหมือนเดิม นอกจากนั้น ยังมีระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist) ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS-Active Light System) และระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering Light) ด้วย



การตกแต่งภายใน
ภาย ในห้องโดยสาร มีการปรับให้มีความผสานกลมกลืนสวยงาม เข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกที่ปรับเปลี่ยนไป มีบรรยากาศความเป็นสปอร์ตในทุกรายละเอียด และเลือกใช้วัสดุชั้นดี มีคุณภาพสูง ทำให้ดูหรูหรา มีระดับ นาฬิกาแบบอะนาล็อกอยู่ตรงกลางแผงคอนโซล ระหว่างช่องแอร์ให้ความสวยงามแบบคลาสสิก เบาะนั่งแบบสปอร์ตหุ้มหนัง และสำหรับรุ่น E 200 Coup AMG Dynamic และ E 200 Cabriolet AMG Dynamic จะเป็นเบาะหุ้มหนัง ARTICO สีดำ ส่วนเบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบ multi-contour seats ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ สำหรับตำแหน่งที่นั่ง พวงมาลัย และกระจกมองข้าง พร้อมระบบเพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออกรถ สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง (EASY-ENTRY) ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแบบ THERMATIC แบบ 2-zone สำหรับรุ่น E-Class Cabriolet จะมีแผงบังคับทิศทางลม (AIRCAP) และแผงกั้นลม (draught-stop) ที่ช่วยลดกระแสลมที่เกิดขึ้นในห้องโดยสาร รวมถึงเสียงรบกวนจากภายนอก โดยระบบ AIRCAP จะทำงานอัตโนมัติ เมื่อรถวิ่งอยู่ที่ความเร็วตั้งแต่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป และระบบจะหยุดการทำงานเองได้โดยอัตโนมัติ เมื่อรถวิ่งอยู่ที่ความเร็วต่ำกว่า 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนั้น ยังติดตั้งพวงมาลัย 3 ก้านแบบมัลติฟังก์ชั่น พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ DIRECT SELECT ที่พวงมาลัย ซึ่งเป็นพวงมาลัยนิรภัยพร้อมเพาเวอร์ที่สามารถปรับน้ำหนักได้ตามความเร็วรถ ซึ่งจะช่วยทำให้การควบคุมทิศทางรถเป็นไปอย่างเที่ยงตรงแม่นยำ ทั้งในรุ่น The new E-Class Coup และ Cabriolet



ระบบช่วยเหลืออัจฉริยะจาก Mercedes Benz
รถ สปอร์ต E-Class Coup และ Cabriolet ใช้เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยใหม่ที่ผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัย ซึ่งเรียกว่าระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัย ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ จึงทำให้ E-Class Coup และ Cabriolet ใหม่นี้ เป็นยานยนต์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุดคันหนึ่งในเซ็กเม้นท์นี้ ระบบดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากแนวคิดการปกป้องก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเข้า ไว้ด้วยกัน ภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานสอดประสานกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ (PRE-SAFE system) โปรแกรมการควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 4 ที่นั่งผ่อนแรงและรั้งกลับอัตโนมัติ พร้อมระบบป้อนเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า (automatic belt feeder) หมอนรองศีรษะคู่หน้าแบบ NECK-PRO head restraints ลดอาการบาดเจ็บ กรณีที่ถูกชนจากด้านหลัง ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมเซ็นเซอร์วัดแรงปะทะและการคาดเข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า ม่านถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะ สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารทั้ง 4 ตำแหน่ง โครงสร้างตัวถังนิรภัยและคานนิรภัยกันกระแทกด้านข้าง และโครงคุ้มกันนิรภัย (roll-over bars) เฉพาะรุ่นเปิดประทุน ซึ่งช่วยเสริมการปกป้องให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนั้น ยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration skid control) ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-Start Assist ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light) ระบบรักษาระดับความเร็ว (cruise control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC) เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTROMIC) และระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist)



ระบบขับเคลื่อน
The new E-Class Coup และ Cabriolet วางเครื่องยนต์เบนซินใหม่แบบ BlueDIRECT แถวเรียง 4 สูบ เครื่องยนต์ออกแบบมาเพื่อเน้นสมรรถนะและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีหัวฉีดแรงดันสูง piezo ฉีดเชื้อเพลิงเข้าห้องเผาไหม้โดยตรง และเป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกัน ที่ใช้กับเครื่องยนต์ V6 และ V8 รุ่นใหม่ของ Mercedes Benz โดยได้นำมาใช้กับเครื่องยนต์ 4 สูบเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ เทคโนโลยีที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่นี้ รวมถึงจังหวะการฉีดเชื้อเพลิงและจุดระเบิดแบบหลายครั้งติดต่อกันตรงสู่ห้อง เผาไหม้ ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์ขึ้น ระบบช่วยประจุอากาศด้วยเทอร์โบชาร์ทเจอร์ ทำให้เครื่องยนต์ใหม่มีสมรรถนะด้านแรงบิดและอัตราเร่งเพิ่มขึ้น อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 18 กม./ลิตร สำหรับ E-Class Coup และ 16 กม./ลิตร สำหรับ E-Class Cabriolet เครื่องยนต์ทุกรุ่นมีฟังก์ชั่น ECO Start/Stop เพื่อช่วยประหยัดน้ำมันและลดมลพิษขณะจอดอยู่กับที่ชุดส่งกำลังขับเคลื่อนวาง ระบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะ (7G-TRONIC PLUS) อันทรงประสิทธิภาพ



The new E-Class Coup และ Cabriolet ใช้ระบบกันสะเทือนแบบ AGILITY CONTROL Sports ที่ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างสปอร์ตปราดเปรียว พร้อมโช้กอัพที่ปรับสภาพเองได้อย่างอิสระ ระบบนี้จะช่วยให้โช้กอัพสามารถปรับสภาพให้เหมาะสมกับสภาพถนนได้โดยอัตโนมัติ ตามสถานการณ์การขับขี่และสภาพของถนนที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกเพลิดเพลินและนุ่มนวลที่สุดขณะขับ ขี่ รวมถึงช่วยสร้างความรู้สึกแบบสปอร์ตแต่ยังคงไว้ ซึ่งความนุ่มนวลขณะเดินทางในระยะไกลอันเป็นชื่อเสียงที่ Mercedes Benz สั่งสมมาอย่างยาวนาน



ระบบมัลติมีเดีย เพื่อความบันเทิงภายในห้องโดยสาร
Mercedes Benz new E-Class Coup และ Cabriolet ติดตั้งเทคโนโลยีล้ำหน้าและมีคุณภาพสูง เพื่อความรื่นรมย์ตลอดการเดินทางหลากหลายรูปแบบการบันเทิง ได้แก่ ระบบ COMAND Online ควบคุมการทำงานของวิทยุและดีวีดี สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต พร้อม controller และระบบนำทาง (navigation system) รวมทั้งยังมีระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) ระบบเชื่อมต่อสื่อบันเทิง (media interface) เพื่อให้ความเพลิดเพลินบันเทิงใจขณะขับขี่ รวมทั้งระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ ผ่านบลูทูธ เพื่อให้ความสะดวกสบายในการสื่อสาร



ชุดแต่งสปอร์ตแบบ AMG และสีภายนอกให้เลือกตามความต้องการ
สำหรับ รุ่น E 200 Coup AMG Dynamic และ E 200 Cabriolet AMG Dynamic จะมากับชุดแต่งสปอร์ตแบบ AMG ซึ่งประกอบไปด้วย กันชนหน้า-หลังดีไซน์สปอร์ต พร้อมตกแต่งด้วยโครเมียม, สเกิร์ตข้างดีไซน์สปอร์ต, ปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อ, ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต ลาย 5 ก้านคู่ ขนาด 18 นิ้ว, ชุดคันเร่งและแป้นเบรกแบบสปอร์ต และพรมรองพื้นสีดำ พร้อมสัญลักษณ์ AMG

นอกจาก นี้ สำหรับ The new E-Class Coup และ Cabriolet ยังมีเฉดสีภายนอกให้เลือกตามความต้องการถึง 12 สี ได้แก่ black (non-metallic), polar white (non-metallic), fire opal (non-metallic), obsidian black, aragonite silver, dolomite brown, tenorite grey, iridium silver, palladium silver, cavansite blue, diamond silver และ diamond white BRIGHT ซึ่งเป็นสีสั่งทำพิเศษ

Mercedes Benz E 200 Coup Cabriolet 2013 ราคา
E 200 Coup Sport    3,790,000 บาท
E 200 Coup AMG Dynamic   3,790,000 บาท
E 200 Cabriolet AMG Dynamic  3,990,000 บาท.

อาคม รวมสุวรรณ
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom



http://www.roddb.com/images/banners/RodDB_88x31.gif

ฮอนด้าเตือน"แจ๊ซ-ฟิต"สวิตช์เสี่ยงไฟไหม้

http://www.posttoday.com/media/content/2013/06/30/15AA913AE842417FB60E6A521B99EE55.jpg
ไทยเร่งตรวจสอบ ภายหลังบริษัทแม่เตือนผู้ใช้ฮอนด้า แจ๊ซ-ฟิต เสี่ยงสวิตช์กระจกเกิดไฟไหม้ ฮอนด้า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของญี่ปุ่น ออกแถลงการณ์เตือนเจ้าของรถฮอนด้ารุ่นฟิตและแจ๊ซที่จำหน่ายในปี 2550-2551 กว่า 6.86 แสนคัน|ทั่วโลกให้จอดรถไว้นอกโรงรถจนกว่าสวิตช์กระจกประตูด้านข้างจะได้รับ การตรวจสอบแก้ไขจากศูนย์บริการ เนื่องจากการเปิด-ปิดสวิตช์กระจกอาจทำให้มีน้ำไหลเข้าไปก่อให้เกิดความเสีย หายกับระบบจนเกิดภาวะร้อนเกินไป และอาจเป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้ได้
แถลงการณ์ เตือนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของการเรียกรถคืนของบริษัท ฮอนด้า หลังพบว่าการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจากการเรียกรถคืนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ไม่สามารถทำให้ระบบใช้งานได้อย่างปลอดภัยพอ ซึ่งฮอนด้าระบุว่ายังไม่มีรายงานความ|เสียหายหรือการบาดเจ็บจากปัญหาดัง กล่าว แต่เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้น จึงได้ประกาศให้บริการเปลี่ยนสวิตช์กระจกรถที่มีการเรียกคืนทุกคันโดยไม่ เสียค่าใช้จ่าย
ขณะที่ บริษัท ฮอนด้า ประเทศไทย กำลังอยู่ระหว่างการเร่งตรวจสอบอะไหล่และอุปกรณ์ที่ใช้ในรถที่จำหน่ายใน ประเทศไทยว่าเป็นรุ่นที่มีปัญหาเช่นในต่างประเทศหรือไม่ และมีใช้ในรถรุ่นใดบ้าง ซึ่งคาดว่าจะได้ผลตรวจสอบในเร็วๆ นี้ และจะทำหนังสือแจ้งเจ้าของรถเชิญให้เข้ามาเปลี่ยนอะไหล่และอุปกรณ์ใหม่ทันที โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งที่ผ่านมารถยนต์ฮอนด้าในไทยไม่เคยเกิดปัญหาในลักษณะนี้ขึ้น แต่เพื่อความมั่นใจและแสดงความรับผิดชอบ ฮอนด้าพร้อมให้บริการเต็มที่

การเลือกใช้หินธรรมชาติในการตกแต่งบ้าน

 
 
การเลือกใช้หินธรรมชาติในการตกแต่งบ้าน

ในปัจจุบันหินตกแต่งจากธรรมชาติกำลังเป็นที่นิยมนำมาตกแต่งบ้านเกือบทุกแห่งครับไม่ว่าจะตามบ้านที่อยู่อาศัย โรงแรม คอนโด ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น หินธรรมชาติที่นิยมนำมาตกแต่งก็มีหลายชนิดดังนี้

1. หินอ่อน เป็นหินธรรมชาติที่เกิดจากการได้รับภาวะกดดันใต้ผิวโลกซึ่งจะมีเนื้อหินสี ขาวหรือบางครั้งอาจมีสีอื่นผสม เช่น เหลือง,ชมพู,เทา ก็เพราะมีแร่อื่นผสมอยู่ด้วย หินอ่อน เนื้อหินจะมีความอ่อน และเกิดรอยขูดขีดได้ง่ายสามารถตัดเจาะได้ ง่ายเหมาะสำหรับงานภายในและพื้นที่ที่ ใช้งานไ ม่หนักมาก หินอ่อนยังไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่มีแหล่งในประเทศ เช่น สีเ ทา มาจาก ปากช่อง สีขาว-เทา,ดำ มากจากสระบุรี สีขาว-ชมพู มาจากพรานกระต่าย กำแพงเพชร มีขนาดโ ดยทั่วไป 30x30 และ 30x60 เซนติเมตร หนา 1.5-2 เซนติเมตร

2. หินแกรนิต เป็นหินในกลุ่มหินอัคนี เนื้อหินจะเห็นเป็นผลึกแร่ชัดเจนมีหลากหลายสีเทา,แดง,เขียว,ดำ,ชมพู,น้ำเงิน หินแกรนิต เนื่องจากมีหลายสีให้ เลือกจึงสามารถใช้ตกแต่งได้ทั้งภายนอกและภายใน มีเนื้อหินที่แข็งแรงสามารถทนต่อการขูดขีดได้ ทนต่อสภาพกรดด่าง และยังทำให้ดูหรูหรา, ในการนำมาตกแต่งหินแกรนิตมีทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศ เช่น อิตาลี ,อเมริกา ขนาดมาตรฐานที่มีขาย คือ ขนาด 30x60,40x80 หรือจะสั่งตัดพิเศษ เช่น 30 x30,60x120,40x40 ซึ่งถ้าขนาดแผ่นหินใหญ่มากก็มี โอกาสโก่งตัวได้ ความหนาประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร

3. หินกาบหรือหินชนวน เป็นหินที่มีเนื้อแน่น มันวาว และแข็งกว่าหินดินดาน แต่ก็ไม่แข็งนักคือสามารถใช้เลื่อยตัดได้ การใช้งานคือไม่ควรใช้ปูในส่วนที่ต้องใช้งานหน้ามาก ส่วนใหญ่มีสีคล้ำและสีดำ แต่บางครั้งจะมีน้ำตาลเขียวผสมขึ้นอยู่กับแร่ ที่เข้ามาผสมหินกาบมีทั้งแบบที่ไม่ตัดตรง และแบบตัดขอบตรงที่มีขนาด 30x30,40x40 เซนติเมตร

4. หินทราย เป็นหินที่ประกอบด้วยเม็ดทรายเล็กเชื่ อมติดกันตามธรรมชาติ อตีดนิยมนำมาแกะสลักรูปต่า งๆ มีสีขาว เทา น้ำตาล น้ำตาลแก่ ปัจจุบันใช้สำ หรับปูทางเดินในสวน หรือ การออกแบบตกแต่งผนังด้วยการปูหินทราย มีขนาด 30x30, 30x60 เซนติเมตร

ใน การเลือกซื้อมีสิ่ง ที่ต้องพิจารณาดังนี้ตำแหน่งติดตั้งภายนอกอาคาร ควรเป็นหินทีสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี ไม่เก่าง่าย พื้นภายนอก ควรเป็นหินที่สามารถรับน้ำหนักได้สูงผนังภายนอก ควรคำ นึงถึงการติดตั้งที่แข็งแรงภายในอาคาร ควรเป็นหินที่ดูหรูหราสวยงาม สามารถตัดตกแต่งได้ พื้นภายในอาคารควรเป็นหินที่ทนต่อการใช้งานได้ดีพอสมควร ผนังภายในอาคารสามารถเลือกใช้วัสดุได้หลายตัวตามความต้องการ

จำนวนพื้นที่ ควรจัดขนาดพื้นที่ที่จะปูมาก่อน เพื่อตรวจสอบว่าจะใช้หินจำนวนเท่าไร เพียงพอกับความต้องการหรือไม่

สี ลาย, รูปแบบการติดตั้ง การปูถ้าเป็นการปูธรรมดาก็ไม่มีปัญหาการเลือกลายจะเป็นสีเดียวกันตลอด ส่วนการปูที่เป็นลวดลาย ควรมีการออกแบบมาล่วงหน้าเพื่อจำนวนการใช้ และความเข้ากันของสีหินแต่ ละลาย

สุด ท้ายเมื่อทราบแล้ว ว่าต้องการหินประเภทไหนการ เลือกซื้อควรพิจารณาความเรียบร้อยต่อ พื้นหินธรรมชาติที่ปูโดยเฉพาะหินอ่อน และหินแกรนิตจะเรียบต่อกันทุกแผ่นเป็นฝืนเดียวกัน ทดสอบด้วยการลูบ รอยต่อดู ความเรียบของผิวหน้าพื้นผิวของงานทีปูแล้วจะต้องไม่มีรอยบุ๋ม บิ่น กระเทาะใดๆ ความโปร่งของพื้นพื้นที่ปูแล้วทดลองเคาะดูจะต้องเสียงทึบตลอดไม่มีสีโปร่ง เพราะปูปูนไม่เต็ม


By http://www.cmc.co.th/files/picture/activity/thumb/activity-thumb-1-1341473491.jpg

เคล็ดลับตกแต่งผนัง เพดาน และพื้นห้องนอน

ห้องนอนเป็นสถานที่ซึ่งคุณอยู่แล้วมี ความสุขมากที่สุดห้องหนึ่งในบ้าน  ดังนั้น การตกแต่งผนัง เพดานและพื้น มีส่วนสำคัญที่จะส่งผลต่อความสุขในการอยู่อาศัยของคุณ
  

ผนัง

ปกติ การเลือกใช้สีทาห้องหรือวอลล์เปเปอร์ มักจะเลือก สีอ่อนๆ และให้เข้ากับสีของผ้าม่าน แต่ปัจจุบันสีทาบ้าน วอลล์เปเปอร์ และวัสดุปิดผนังอื่นๆ มีมากมายหลายชนิด การเลือกใช้สีจึงไม่จำเป็นต้องใช้ เพียงแต่สีอ่อนๆเท่านั้น เราสามารถที่จะคิดสร้างสรรค์ การตกแต่งห้องได้ อย่างไม่สิ้นสุด

       

การ เลือกใช้วอลล์เปเปอร์ให้เข้ากันได้กับวัสดุอื่นๆ ในห้อง ควรจะทำให้เป็นธรรมชาติ โดยการเลือกใช้ลาย ที่ใกล้เคียงกันผ้าม่านหรือ การตกแต่งส่วนอื่นๆ เป็นสำคัญ แต่ถ้าไม่ต้องการ ใช้วอลล์เปเปอร์ และไม่ต้องการ ทาสี อาจใช้วิธีอื่นแทนได้ เช่น สแตนชิน การวาดลวดลายแทนได้

       

สำหรับ การทาสีนั้นได้มีวิวัฒนาการก้าวหน้าอย่างมาก ในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีสีต่างๆ ที่ผสมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นสีสำเร็จรูปพร้อมที่จะทาผนังได้ทันที และยังมีคุณสมบัติที่ทนทาน ต่อสภาพดินฟ้าอากาศมากยิ่งขึ้น ห้องที่มีขนาดเล็ก และมีเพดานต่ำเกินไปไม่ควรติด วอลล์เปเปอร์ที่มีลวดลาย แต่อาจพรางตา โดยการทาสี ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความสูงให้กับห้องได้อย่างดี

พื้นห้อง

       

วัสดุ ที่ใช้ปูพื้นห้องมีหลายชนิดให้เลือก แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกนั้น ควรคำนึงถึงสภาพการให้สอยด้วย ถ้าต้องการพื้นที่นุ่มสบาย ก็ควรเลือกปูพื้นด้วยพื้นไม้ และบางส่วนที่สัมผัสบ่อย เช่น บริเวณหน้าเตียง ควรปูด้วยพรมชิ้น สำหรับห้องนอนที่ตกแต่งอย่างกันสมัย สามารถเลือกปูพื้นด้วยวัสดุอื่นๆ อาทิ กระเบื้องยาง พรมวิทยาศาสตร์ หรือกระเบื้องเซรามิกก็ได้ แล้วแต่ความต้องการและความเหมาะสม

เพดาน

       

ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่เรามองเห็นทุกครั้งที่เราล้มตัวลงนอน จึงไม่ควรตกแต่งเพดานให้มีลวดลายที่วิจิตรพิสดารมากเกินไป เพราะจะทำให้เมื่อในเวลาอันรวดเร็ว แต่ถ้าบนเพดานมีคิ้ว หรือลวดลาย ดอกไม้อยู่แล้วก็ให้กลบเกลื่อนด้วยการทาสีอ่อนกว่าปกติ้

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"ฟอร์ด เรนเจอร์ใหม่"แข็งแกร่งตอบสนองเยี่ยม


ฟอร์ด ประเทศไทย จัดกิจกรรมทำความดีเพื่อสังคม โดยนำคณะสื่อมวลชนร่วมเดินทางไปกับ “ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่”
(เกียร์ ธรรมดา) กับภารกิจ “ปรับปรุงโรงเรียน บ้านห้วยหยวก” ณ จ.สุโขทัย เสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้และการใช้ประโยชน์รอบบริเวณพื้นที่โรงเรียน
งาน นี้จึงต้องใช้สมรรถนะของ “ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่” เพื่อพิชิตภารกิจนี้ ในการขนสิ่งของ อาทิ หินกรวด ดินปลูกต้นไม้ อุปกรณ์การเรียนการสอน โต๊ะม้าหิน ซึ่งมีน้ำหนักตั้งแต่ 100-300 กิโลกรัมต่อคัน ซึ่งภารกิจครั้งนี้ใช้รถทั้งหมดจำนวน 9 คัน เรียกได้ว่าบรรทุกอย่างเต็มพิกัดกันทุกคัน
เส้น ทางจากสนามบินสุโขทัยไปสู่โรงเรียน บ้านห้วยหยวก ถึงแม้ระยะทางไป-กลับรวมแล้วจะไม่มากนักเพียงแค่ประมาณ 180 กิโลเมตร แต่ตลอดเส้นทางเป็นทางคดโค้งสลับขึ้นเขา บ้างก็มีทางลูกรัง บ้างก็เป็นทางที่ยังสร้างไม่เสร็จ เรียกได้ว่าสมบุกสมบันกันพอตัว โดยมุ่งหน้าเส้นทางเดียวกันกับอุทยานประวัติศาสตร์ ศรีสัชนาลัย ...ไม่เท่านั้นยังเพิ่มบททดสอบทางธรรมชาติเข้าไปอีกด้วย “ฝน” ที่โปรยปรายชุ่มฉ่ำลงมา พอให้ได้ความเปียกลื่น
การ เดินทางครั้งนี้ต้องบอกเลยว่าถึงแม้ จะสมบุกสมบัน แต่ก็สะดวกสบายด้วยห้องโดยสารที่ถูกออกแบบมาให้มีความกว้างขวาง และสะดวกสบายต่อการใช้งานแบบเรียบๆ ง่ายๆ แต่ตอบสนองความต้องการได้เต็มที่ อาทิ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ระบบ เปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติและระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (ครูส คอนโทรล) ระบบสั่งการด้วยเสียงและบลูทูธ เบาะหนังแบบพิเศษโดยเฉพาะในรุ่น “ไวลด์แทรค” ซึ่งเป็นไฮไลท์ ได้แก่ โอเพ่นแค็บ (2 ประตู-ขับ 2 ยกสูง) และดับเบิ้ลแค็บ (4 ประตู-ขับ 2 ยกสูง) ที่ใส่เกียร์ธรรมดาสำหรับคนชื่นชอบการควบคุมด้วยตัวเอง
สำหรับ ภายนอกคงไม่ต้องพูดถึง มากเท่าไร เพราะในเวลานี้ “ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่” ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคและตลาดได้เป็นอย่างดี ด้วยรูปลักษณ์ที่ดุดัน แบบหล่อเข้มให้ความรู้สึกแข็งแกร่งและบึกบึน เรียกได้ว่า “โดน” สำหรับใครหลายๆ คนอย่างแน่นอน ในราคาเริ่มต้นที่ 5.59 แสน-1.09 ล้านบาท
ขณะที่ เครื่องยนต์มีทั้งเครื่องยนต์ เบนซิน ทีไอวีซีที ขนาด 2.5 ลิตร พร้อมเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเครื่องยนต์ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ เทอร์โบ ดีเซล คอมมอนเรล ขนาด 2.2 ลิตร พร้อมเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ซึ่งครั้งนี้ “โพสต์ทูเดย์” ได้ลองขับในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ไวลด์แทรค ดับเบิ้ลแค็บ ซึ่งมาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.2 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุดที่ 150 แรงม้า ที่ 3,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตร ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที
จากที่ ได้ลองขับและสัมผัสรับรู้ได้ถึง แรงบิดอันมหาศาลพร้อมการตอบสนองของ อัตราเร่งได้เป็นอย่างดีทุกๆ ย่านความเร็ว ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดาที่ให้การตอบสนองและความสนุกสนานในการขับ ขี่ที่ดี ทำให้ตลอดการเดินทางจึงง่ายในทุกรูปแบบของเส้นทางจริงๆ
สำหรับ ช่วงล่างและสมรรถนะด้านการทรงตัว ในขณะที่มีน้ำหนักบรรทุก (ขาไป) และขณะที่ไม่มีน้ำหนักบรรทุก (ขากลับ) ต่างไม่มีผลต่อการควบคุมใดๆ แม้ว่าจะมีฝนโปรยปรายลงมาเพิ่มความยากในการขับขี่ก็ไม่มีปัญหา เรียกได้ว่า “เอาอยู่” แบบสบายๆ
ภารกิจ ครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี พร้อมการสัมผัสในทุกฟังก์ชั่นการใช้งานที่ “ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่” คันนี้มี ซึ่งงานนี้ต้องบอกว่าทั้งอิ่มใจ (ในการขับขี่) และอิ่มบุญ (ในการทำกิจกรรม) แบบเต็มๆ เลยก็ว่าได้


โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์
 www.posttoday.com

http://www.roddb.com/images/banners/RodDB_88x31.gif

"นิสสันมาร์ชใหม่"เล็กแต่ลุย

สัปดาห์ นี้พาผู้อ่านทุกท่านร่วมเดินทาง ในเส้นทางต่างประเทศ (อีกครั้ง) กับ “คาราวานเปิดเส้นทางสู่อินโดจีน” โดยครั้งนี้ร่วมเดินทางไปกับบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ผู้นำตลาดรถยนต์อีโคคาร์ที่ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในปี 2555 ในสัดส่วน 50% ของตลาด
ด้วย ความที่เป็นอีโคคาร์ ใครจะคิดล่ะ!! ว่าสามารถเดินทางได้ไกลเพียงใด ดังนั้น นิสสันจึงไขข้อข้องใจนำคณะสื่อมวลชนเดินทางด้วยเจ้า “นิสสัน มาร์ช ใหม่” ที่เพิ่งมีการปรับโฉม (ไมเนอร์เชนจ์) ไปหมาดๆ โดยการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของรถยนต์ประเภทอีโคคาร์ที่มีการขับ ขี่เดินทางข้ามประเทศ
ด้วย ระยะทางยาวกว่า 340 กม. บนเส้นทางตราด-พนมบอร์กอร์ ประเทศกัมพูชา เริ่มต้นจากบริเวณชายแดนฝั่งประเทศไทยเดินทางข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา โดยเส้นทางการเดินทางเป็นแบบฝึกหัดที่วัดสมรรถนะของเจ้าอีโคคาร์คันนี้ได้ เป็นอย่างดี มีทั้งขึ้น-ลงเขา ทางคดโค้ง ทางฝุ่น ทางขรุขระ ตลอดเส้นทาง



“นิ สสัน มาร์ช ใหม่” ที่ได้มีการปรับโฉม พร้อมๆ กับการเพิ่มราคาขึ้นอีก 8,000-14,000 บาท ทำให้ราคาใหม่เริ่มต้นที่ 3.88-5.55 แสนบาท ภายนอกได้แต่งเสริมเติมสี โน้นนิดนี่หน่อย ให้ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยกระจังหน้าใหม่โครเมียมแบบ “วี-เชฟ” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของนิสสันในทุกรุ่น พร้อมกับกันชนหน้า-หลัง ดีไซน์ใหม่ ที่เพิ่มไฟตัดหมอก ไฟท้ายแบบ LED เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น รวมถึงเพิ่มสีสันภายนอกให้เลือกเพิ่มขึ้น 2 สีใหม่ ได้แก่ สีเขียว-กรีนโอลีฟ และสีชมพู-สวีต พิงค์

ภายใน ห้องโดยสาร เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัดเจน ด้วยการดีไซน์ภายใต้แนวคิด “ทันสมัย สะดวกสบาย ให้ทัศนวิสัยดีเยี่ยม” ซึ่งเพิ่มความหรูหราเข้าไปด้วย มือจับเปิดประตูโครเมียม มาตรวัดแสดงผลที่ตกแต่งด้วยขอบโครเมียม คอนโซลกลางตกแต่งด้วยวัสดุสีดำ (เปียโน แบล็ก) ซึ่งตัดกับสีภายในซึ่งเป็นสีเบจ เครื่องเสียงดีไซน์พิเศษ พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB พวงมาลัยพร้อมระบบควบคุมเครื่องเสียง
สำหรับ เครื่องยนต์ ยังใช้เครื่องยนต์เดียวกับรุ่นเดิม ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร แบบ 3 สูบ แถวเรียง DOHC 12 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุดที่ 79 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 106 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับระบบเกียร์แปรผันอัจฉริยะ XTRONIC CVT และช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัต และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม



นอก จากนี้ยังเพิ่มระบบความปลอดภัย เช่น ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) และระบบเสริมแรงเบรก (BA) เพิ่มเติมจากระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยในรถขนาดกลาง (ซี-เซ็กเมนต์) ขึ้นไป มาไว้ใน “นิสสัน มาร์ช ใหม่” อีกด้วย

ตลอด การเดินทางระยะไกลด้วยรถประเภทอีโค คาร์แถมยังข้ามประเทศอีกต่างหาก ซึ่งเส้นทางและความสะดวกสบายบนถนนอาจจะไม่ได้ราบเรียบ ส่งผลสะท้อนถึงระบบช่วงล่างที่ถึงแม้อาจจะไม่ได้นุ่มนวลอะไรมากมาย แต่เรื่องสมรรถนะและการทรงตัวถือได้ว่าค่อนข้างทำได้ดีเมื่อเทียบกับราคาและ ความคุ้มค่าในแบบฉบับอีโคคาร์
ส่วน เรื่องสมรรถนะด้านเครื่อง ยนต์และอัตราเร่งจุดนี้ ถือได้ว่าเป็นการขับขี่ที่สนุกสนาน อัตราเร่งแซง ออกตัว หรือแม้กระทั่งขึ้นทางลาดชัน ก็ทำได้ดีไม่มีปัญหา จะมีก็นิดหน่อยตรงที่การทำงานร่วมกับระบบเกียร์ XTRONIC CVT ที่บางทีการตอบสนองอาจจะไม่ถึงอกถึงใจในบางจังหวะ แต่ด้วยการออกแบบที่เน้นในความประหยัด ตามมาตรฐานอีโคคาร์ก็อยู่ในระดับที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
ด้าน ความสะดวกสบายในการขับขี่มองว่า ด้วยการออกแบบให้เป็นรถที่มีความคล่องตัวและความเล็กกะทัดรัดในการขับขี่ ทำให้รู้สึกถึงเบาะที่นั่งและตำแหน่งการขับขี่อาจจะไม่ค่อยสบายไปสักนิด ถึงแม้จะปรับเลื่อนจนคิดว่าเหมาะสมแล้วก็ตาม ยิ่งด้วยระยะทางไกลแล้วด้วยนั้นอาจจะต้องเจอกับอาการ “เมื่อย” กันสักนิด แต่หักลบกับทัศนวิสัยการมองเห็นและการขับขี่ที่ดีแล้วถือว่า “พอได้” อยู่
สุดท้าย “นิสสัน มาร์ช ใหม่” ก็สามารถพิชิตจุดหมาย “คาราวานเปิดเส้นทางสู่อินโดจีน” ได้อย่างปลอดภัย







โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์
www.posttoday.com