วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ชาวไร่ไฮโซ MINI COUNTRYMAN COOPER D (ตอนที่2)


ตอนที่ สองของการขับขี่ทดสอบ MINI Cooper D Crossover 5 ประตู บนระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร... ภาย ในที่แปลกแยกของ Countryman Cooper D แตกต่างจากรถทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
มาตร วัดความเร็วที่ใหญ่โตราวกับกะละมัง ได้กลายมาเป็นเอกลักษณ์ที่ยากจะลอก เลียนแบบ ความกล้าหาญของงานดีไซน์จาก BMW Group ส่งผลให้มันมีห้องโดยสารที่สามารถสร้างบรรยากาศของการขับขี่ที่ไม่ซ้ำกับรถ อื่น รถทดสอบคันนี้จะอยู่กับผมอีกห้าวันในการใช้ขับทางไกลเพื่อค้นหาสมรรถนะ และประสิทธิภาพของการประหยัดเชื้ิอเพลิงที่วิศวกรของMINI เคลมว่ามันวิ่งได้ด้วยอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 19 กิโลเมตรต่อลิตรจากเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอลเรลขนาด 2.0 ลิตร แม้จะไม่ใช่รุ่นสูงสุดอย่าง Countryman Cooper SD A44 และขับเคลื่อนเพียงล้อคู่หน้าแต่มันคือยนตรกรรมที่โดดเด่นมากด้านรูปทรง และความอเนกประสงค์ของการใช้งานโดยรวม แต่ต้องตัดเรื่องราคาค่าตัวออกไปเสียก่อน
การ แยกแยะรถ MINI ในแต่ละรุ่นสำหรับผู้คนที่ไม่ได้อยู่ในวงการรถยนต์เป็นเรื่องที่จำได้ยากมาก มันคือรถเล็กที่มีให้เลือกมากมายหลายแบบตั้งแต่รุ่นปกติ 3 ประตู รุ่นหลังคาสั้นที่มีท้ายสั้นกุดและหลังคาทรงเด็กใส่หมวกกลับด้านโดยเอาปีก หมวกไว้ด้านหลังหรือ Coupe รุ่นเปิดประทุน Roadster รุ่นที่มีท้ายยาวกว่าปกติที่เรียกกันว่า Club Man และรุ่น Crossover ที่มีให้เลือกทั้ง 5 ประตูขับเคลื่อนสองหรือสี่ล้อแบบคันทดสอบหรือ Countryman กับ Pace Man ที่เพิ่งออกขายและมีประตูลดลงเหลือเพียงสามทั้งๆ ที่มันก็คือร่างทรงของ Countryman นั่นเอง ผมขับใช้งานในเมืองอยู่เพียงแค่วันเดียวในระยะทางสั้นๆ มิติตัวถังที่โตขึ้นในทุกสัดส่วนเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นปกติ ทำให้มันเป็นจุดสนใจของผู้คนบนถนนได้ดี สัดส่วนของความสูงแบบ Crossover ยังทำให้การมองเห็นกว้างไกลมากขึ้น กระจกบานใหญ่ด้านหน้าเปิดโล่งมุมมองคล้ายๆ กับ CRV จากระดับความสูงที่ใกล้เคียงกัน เพียงแต่รถทั้งสองคันมีการตกแต่งภายใน เครื่องยนต์ ชุดส่งกำลังและสภาพการขับขี่ที่แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง
แม้ จะตัวสูงโย่งแต่คุณภาพของการขับที่เน้นความสนุกและอารมณ์แบบวัยรุ่นยังคง อยู่ครบ มันให้ความรู้สึกของการควบคุมที่ใส่สัมผัสของ MINI เอาไว้อย่างชัดเจน ขนาดของตัวถังที่โตขึ้นเพื่อเอาอกเอาใจสุภาพสตรีนักขนของที่นิยมรถคันโต แต่ต้องทำตัวน่ารักทำให้มันมีมุมมองที่ก้ำกึ่งพอสมควร มันไม่ใช่รถที่ดูดีทั้งคัน แต่มีส่วนผสมที่ลงตัวใช้ได้จากงานออกแบบ ผมขับมันบนถนนในกรุงเทพมหานครด้วยความรื่นเริงจากระบบรองรับที่ทำให้รู้สึก สบายตัวมากกว่ารุ่นเล็กที่กระด้างสุดๆ การทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลแม้จะมีเสียงดังไปบ้างแต่แรงบิดรอบต่ำในช่วง ออกตัวนั้นขอบอกว่ายอดเยี่ยมสำหรับเครื่องยนต์ที่มีแรงม้าเพียง 112 ตัว ที่รอบเครื่องยนต์ 1,700-2,400 รอบต่อนาที หากคุณกดคันเร่งเร็วๆ แรงบิดที่ทะลักออกมาดูเหมือนจะล้นเกินไปด้วยซ้ำ มันสามารถพุ่งทะยานจากจุดออกตัวแล้วไต่ระดับความเร็วได้อย่างน่าพึงพอใจ แถมยังประหยัดด้วยการวิ่งที่ย่านความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยใช้รอบเครื่องไม่ถึง 2,000 รอบต่อนาที สิ่งที่แย่คือเสียงของเครื่องยนต์และเสียงยางที่ดังลอดเข้ามาในห้องโดยสาร มากจนเกินไปเมื่อความเร็วเริ่มสูงขึ้น แก้ได้ด้วยการเปิดเพลงกลบมันไปเสียเลย แม้แต่เสียงเดินเบ


อ่านต่อ >>


http://www.roddb.com/images/banners/RodDB_88x31.gif

แบบห้องนอนสีชมพู



เตียงนอนสองชั้น กับบรรยากาศที่แสนหวาน

"ความหวานในใจฉันนั้นมันต่ำไป กลับมารักกันทีได้ไหม ขาดเธอแล้วฉันอยู่ไม่ไหว………." อะไรจะหวานสะขนาดนี้ ห้องนอนสีชมพูหวาน แหวว จนน้ำตาลอาจจะเรียกพี่ มดอาจจะไต่ยั้วเยี๊ยเลยก็เป็นได้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีชมพู ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันทีว่าห้องนอนแบบนี้ต้องเป็นห้องนอนผู้หญิงแน่ นอนเลย ติดผนังด้วยวอลเปเปอร์ลวดลายน่ารัก เตียงนอนสองชั้นสำหรับสองคน ฝ้าเพดานหลุมวงกลมขนาดใหญ่ติดโคมไฟสวยๆตรงกลาง ติดกับหน้าต่างจัดไว้เป็นมุมอ่านหนังสือ หรือไว้ทำงาน โคมไฟติดผนังแสงสีส้ม ให้ความสว่างอย่างอบอุ่น มีผ้าม่านสีชมพูติดกั้นไว้ระหว่างมุมอ่านหนังสือกับส่วนของเตียงนอน ให้ความเป็นส่วนตัวและไม่รบกวนกัน เมื่ออีกคนจะนอนและอีกคนจะอ่านหนังสือ

ภาพถ่ายโดย : svdecor





วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ชาวไร่ไฮโซ MINI COUNTRYMAN COOPER D (ตอนที่1)



ทดสอบการขับขี่ MINI Countryman Cooper D ยานยนต์ 5 ประตูพลังดีเซลอัดเทอร์โบกึ่งลุยกึ่งหรูของ BMW Group
ตอนแรกกับการรีวิวตัวถัง ภายใน อุปกรณ์อำนวยความสะดวก เครื่องยนต์ ชุดส่งกำลัง ระบบรองรับและราคาค่าตัว...

มัน เหมือนคนตัวเล็กที่ไป เข้าคอร์สออกกำลังกายอย่างหนักพร้อมๆ ไปกับการกินสารกระตุ้นกล้ามเนื้อพวกสเตียรอยด์ MINI Countryman คือตัวอย่างของการแตกสายพันธ์ุเพื่อการตลาดอย่างแท้จริง มันไม่ได้เป็นเพียงแค่รถยนต์รุ่นเก่าที่ถูกนำมาสานตำนานด้วยรูปลักษณ์ใหม่ อีกต่อไป มันได้กลายมาเป็นรถ BMW คันเล็กไปแล้วจากคุณภาพของงานประกอบการขับขี่ วัสดุและราคา ทุกวันนี้ รถ MINI ได้แฝงเอาความร่วมสมัยและแนวทางการออกแบบใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของคนทั่วไป การเดินตามแฟชั่นคือความทันสมัยที่เปลี่ยนแปลงให้รถ MINI ในทุกวันนี้มีรูปทรงที่แปลกตามากยิ่งขึ้น มันตัวโตขึ้น มีระบบรองรับการขับขี่มากยิ่งขึ้นพร้อมๆ ไปกับราคาที่สูงขึ้นจนขึ้นไปอยู่ในชั้นของรถเล็กระดับพรีเมี่ยม นับจากปี 2001 ที่ BMW Group เข้ามาซื้อกิจการของ MINI ต่อจากแบรน์ ROVER ที่กำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก จนมาถึงทุกวันนี้บนตัวเลขยอดขาย 1.5 ล้านคันทั่วโลกคือความสำเร็จที่ยากจะทำลาย กลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ต้องการรถยนต์ที่มีรูปแบบหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทุกที สาเหตุดังกล่าวทำให้ MINI สูญเสียความเป็นตัวตนไปพอสมควรจากการทำรถที่เน้นหนักทางด้านการตลาดมากจน เกินไป ในปี 2008 รถต้นแบบ Countryman Concept ได้สร้างความตกตะลึงให้กับแฟนๆ ของ MINI ในงานแสดงรถยนต์ปารีสมอเตอร์โชว์ ด้วยตัวถังแบบ 5 ประตู พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและช่วงล่างแนว Crossover มันตัวอ้วนขึ้นและสูงขึ้นมาก แม้จะไม่ดูดีเท่ารุ่นตัวถัง 3 ประตู แต่การมาถึงของ Countryman เป็นการป่าวประกาศให้โลกรู้ว่า BMW Group พร้อมแล้วสำหรับการขยายตลาดสู่ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่และพยายามรักษาความนิยมใน แบรนด์ MINI ไว้ นับเป็นครั้งแรกที่ BMW กล้าที่จะตัดสินใจเพิ่มความหลากหลายของตัวถัง MINI ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาว่า กำลังทำให้ MINI ในทุกวันนี้ขาดความเป็นตัวตนที่ชัดเจน


ทุกๆ ค่ายในห้วงเวลานี้พยายามทำรถของตนเองให้มีขนาดที่เล็กลง แต่กลับสวนทางอย่างสิ้นเชิงเมื่อพบกับรูปลักษณ์ของเจ้า MINI Countryman เพื่อทำให้มันมีความอเนกประสงค์ด้านการใช้งานมากยิ่งขึ้น ขนาดของตัวถังรหัส R60 จึงถูกขยายออกไปทุกทิศทุกทาง รถทดสอบ Countryman Cooper D ขับเคลื่ิอน 2 ล้อหน้าคันนี้มีความกว้าง 1,789 มิลลิเมตร ยาวถึง 4,097 มิลลิเมตรและมีความสูงถึง 1,561 มิลลิเมตร เมื่อมองดูใกล้ๆ จะพบความอวบอ้วนของตัวถังที่ถูกดีไซน์ให้อ้างอิงกับรถยนต์ในแนว Crossover ซึ่งมีมิติความสูงมากกว่ารถยนต์ทั่วๆ ไป ด้านหน้าของเจ้า Countryman มีไฟหน้าแบบใหม่ที่ไม่ซ้ำกับไฟของรุ่น 3 ประตู จากขนาดที่ใหญ่กว่า กระจังหน้าก็ยังมีมิติที่เพิ่มมากขึ้นแม้จะยังมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกันกับ รุ่น 3 ประตูตัวเล็ก สปอยเลอร์หน้าหรือกันชน วางไฟตัดหมอกทรงกลมบริเวณมุมทั้งสองด้าน ส่วนช่องรับอากาศเพื่อระบายความร้อนให้กับหม้อน้ำและรังผึ้งของระบบปรับ อากาศนั้นก็ยังใหญ่โตตามขนาดของตัวรถไปโดยปริยาย ฝากระโปรงออกแบบให้มีมุมมองที่นูนขึ้นเล็กน้อยตรงกลาง พร้อมไปกับการคาดสติกเกอร์ตามแนวทางของ MINI ที่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ส่วนตัวไปแล้ว

มุม มอง ด้านข้างตัวถังของ MINI Countryman Cooper D จะพบเห็นความใหญ่โตได้อย่างชัดเจนทั้งจากขนาดของความสูงและแนวของกระจกบังลม เสาหน้ามีความลาดเอียงน้อยลงกลับทำให้ทัศนวิสัยมุมมองด้านหน้าปลอดโปร่งมาก ยิ่งขึ้น พลาสติก ABS ใช้ตกแต่งซุ้มล้อหน้า-หลังกับแนวชายล่างของขอบบันไดตัดกับสีขาวของตัวถัง แก้มข้างวางไฟเลี้ยวไว้คนละแนวกับรุ่นตัวถังเล็กด้วยการใช้แนวทะแยงที่ลงตัว กับไฟเลี้ยวทรงยาวแทนที่ไฟเลี้ยวทรงกลมของเจ้าตัวเล็ก ล้ออัลลอยลายแนวๆ สีขาวขอบ 17 นิ้วแบบ 5 รูน็อตยึด ห่อรัดเอาไว้ด้วยยางกึ่งลุยของ Bridgestone ไซส์ 205/55/R17 แก้มยางที่สูงขึ้นมากกว่ารุ่นเล็กยังช่วยทำให้การวิ่งลุยทางฝุ่นหรือทางขรุ ขระดีขึ้น แนวของหลังคาที่ค่อยๆ ลดระดับความลาดเอียงไปยังส่วนท้ายสอดรับกับเสาหลังที่ค่อนข้างเตี้ยได้ดี ที่แปลกตาคือเสาอากาศซึ่งติดตั้งอยู่บนหลังคาทางส่วนหลังที่สูงโด่ง บานประตูใช้มือจับแบบพลาสติกชุบโครเมี่ยมสีเงินช่วยเพิ่มเติมมุมมอง หลังคาสีดำกับรถสีขาวตัดกันอย่างลงตัวและสวยงาม ในรุ่น Countryman Cooper D ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าซึ่งมีราคาลดต่ำลงมาจากรุ่น Countryman All4 Cooper SD ไม่มี Moon roof ติดตั้งมาให้เหมือนกับรุ่นสูงสุด สันหลังคามีชิ้นงานใช้สำหรับติดตั้งแร็คหลังคาสำหรับขนของ
ผู้ คนส่วนใหญ่คาดหวังกับขนาดที่โตขึ้นแบบรถ SUV ที่ใช้งานได้ดีและ Countryman Cooper D ตอบโจทย์นี้ได้อย่างลงตัวแม้จะไม่ใหญ่เท่ากับรถขับเคลื่อน 4 ล้อเต็มรูปแบบ บั้นท้ายของมันสร้างความแตกต่างอย่างมีเสน่ห์รวมถึงงานวิศวกรรมโครงสร้างและ ความประณีตในการประกอบ ฝาท้ายเปิดออกได้ด้วยมุมที่สูงเป็นพิเศษสำหรับการขนสัมภาระ ไฟท้ายแนวตั้งมีขนาดที่โตขึ้นตามมิติของตัวถัง ส่วนชิ้นงานสปอยเลอร์หลังหรือกันชนด้านหลังก็ยังลงตัวสอดรับกับส่วนท้าย กระจกบานหลังที่ติดอยู่กับฝาท้ายมีขนาดเล็กไปนิดและต้องเพิ่มความระวัง ขณะที่กำลังถอยหลังเนื่องจากความสูงของตัวรถ สำหรับ Countryman Cooper D มีเซ็นเซอร์ถอยหลังพร้อมสัญญาณเสียงเมื่อเข้าใกล้วัตถุกีดขวาง กระจกบังลมด้านหลังมีใบปัดน้ำฝนขนาดเล็กและไฟเบรกดวงที่ 3 แบบหลอด LED มาให้อีกด้วย

ถึง แม้ตัวจะโตแต่ภายใน ห้องโดยสารของ Countryman Cooper D ยังคงกลิ่นไอของ MINI รุ่นปกติเอาไว้อย่างเหนียวแน่นจากการจัดวาง การคัดสรรวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายในและรูปแบบของปุ่มสวิตช์ต่างๆ ที่ยังคงเหมือน กับรุ่น 3 ประตู มาตรวัดใหญ่ขนาดชามก๋วยเตี๋ยวไม่มีจอมัลติฟังก์ชั่นเหมือนกับรุ่นสูงสุด มีชุดเครื่องเสียงแบบ CD-MP3 AM-FM พร้อมช่องเชื่อมต่ออุปกรณ์เล่นเพลงจากภายนอก ชุดควบคุมอุณหภูมิและปุ่มสวิตช์เปิด-ปิดกระจกบังลมแบบไฟฟ้ากับระบบไฟส่อง สว่างอยู่ค่อนข้างต่ำทำให้การใช้งานไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร ภายในของ Countryman Cooper D คันทดสอบเน้นสีแบบทูโทนดำสลับแดง เบาะแบบผ้าใช้หนังแท้สีเทาเข้มหุ้มขอบเพื่อความคงทน แผงประตูสีดำสลับแดง ที่ออกแบบได้ดีและโดนใจคือคอนโซลพลาสติกขึ้นรูปที่หุ้มด้วยไวนิลคุณภาพสูง สำหรับป้องกันเสียงแปลกปลอมจากภายนอก พวงมาลัยสามก้านกับสวิตช์ปรับตั้งเครื่องเสียงและปุ่มรับสายโทรศัพท์ หลังวงพวงมาลัยยังมีแป้นเปลี่ยนเกียร์หรือ Paddle Shift ทำจากพลาสติกสีดำ ช่องแอร์ทรงกลมที่เข้ากันกับหน้าปัดมาตรวัด ซุ้มเกียร์ออโต้ทำออกมาคล้ายๆ กับเกียร์ธรรมดาโดยใช้ถุงหนังแท้สีดำห่อหุ้ม คันเกียร์ แม้จะเต็มไปด้วยพลาสติกรอบๆ ห้องโดยสาร แต่รูปแบบและงานดีไซน์รวมถึงการจัดวางทำออกมาได้ดีโดนใจวัยรุ่นเหมือนเดิม


แบบห้องนอนน่ารัก สำหรับคนน่ารัก

ตกแต่งห้องนอนน่ารัก นุ่มนวล สบายๆ

ความ น่ารัก ความอ่อนหวาน เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่สามารถดึงดูดสายตาและดึงดูดหัวใจของผู้พบเห็นได้ ไม่ว่าความน่ารักจะอยู่กับคน กับสิ่งของ หรือสถานที่ก็ตาม ในบ้าน ใน คอนโด และไม่เว้นกระทั่งห้องนอน หากได้มีความน่ารักแล้วย่อมเป็นจุดสนใจขึ้นมาได้ไม่น้อยทีเดียว มาลองดูแบบห้องนอนห้องนี้แล้วจะทำให้ทราบว่าเมื่อห้องนอนมีความน่ารัก ความอ่อนหวานแล้วจะยิ่งทำให้ห้องนอนห้องนั้นน่าอยู่ขึ้นเป็นอย่างมาก

เริ่ม ตั้งแต่เข้ามาใน ห้อง จะสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลอย่างบอกไม่ถูก จากโทนสีและแสงสว่างที่นำมาตกแต่งห้อง ด้านขวามือจะเห็นกรอบรูปภาพสองรูป ทีวีสีขาวจอแบน นาฬิกาแขวนผนัง ชั้นวางของเตี้ยๆสีกลมกลืนกันกับสีของผนังและเพดาน ตู้เสื้อผ้าสีขาวประตูบานเลื่อน และเมื่อหันไปมองด้านซ้ายมือ โต๊ะทำงานพร้อมเก้าอี้ ชั้นวางหนังสือวางชิดติดผนัง วอลเปเปอร์ลายดอกไม้สีฟ้าม่วงแกมฟ้า เก้าอี้กำมะหยี่สีชมพูสองตัว มีโคมไฟตั้งพื้นวางไว้ระหว่างกลางเก้าอี้ เตียงนอนสีขาวสำหรับนอนคนเดียว ผ้าปูที่นอนเหมือนเป็นผ้าตัดต่อลวดลายน่ารักสีสันสดใส โต๊ะเล็กๆวินเทจๆไว้วางกรอบรูปและโคมไฟข้างหัวเตียง น่ารักอบอุ่นอย่างนี้ชอบกันไหมเอ่ย


วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

"นิสสัน พัลซาร์"5ประตูเน้นสบาย



มาแล้วครับ รถ 5 ประตู รุ่นใหม่จากค่ายนิสสัน นั่นคือ นิสสัน พัลซาร์ รถ 5 ประตูขนาดกลาง ที่จะมาจำหน่ายแทนที่ นิสสัน ทีด้า ที่ไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายในช่วงที่ผ่านมาเท่าไหร่นัก

ทำให้ ต่อไปนี้ นิสสัน 5 ประตูในเมืองไทย จะมีแต่ พัลซาร์ เท่านั้น ส่วน นิสสัน ทีด้า ก็จะหยุดผลิตไปโดยปริยาย ใครที่เป็นเจ้าของ นิสสัน ทีด้า อยู่ภูมิใจได้เลยครับว่ากำลังได้เป็นเจ้าของยนตรกรรมรุ่นที่กำลังจะเป็น หนึ่งในตำนานรถยนต์เมืองไทยแล้ว
นิสสัน พัลซาร์ เป็นรถยนต์ 5 ประตู หรือแฮตช์แบ็กขนาดกลาง ซึ่ง นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 มี.ค.ที่จะถึงนี้ แต่ก่อนที่จะเปิดตัว ก็เปิดให้สื่อมวลชนได้ลองขับเรียกน้ำย่อยกันเสียก่อน
แต่การ ลองขับครั้งนี้ ทางนิสสันไม่ได้ให้ข้อมูลทางเทคนิคของ พัลซาร์ มากนัก จะมีก็แต่การแนะนำแบบคร่าวๆ ว่า นิสสัน พัลซาร์ นั้นถูกออกแบบมาให้ดูปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว และได้รับดีเอ็นเอเล็กๆ มาจาก นิสสัน แฟร์เลดี้ สุดยอดรถสปอร์ตของนิสสันอีกด้วย
นอกจาก นี้ พัลซาร์ ยังถูกออกแบบมาให้เน้นตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเรื่องของความกว้างขวาง สะดวกสบาย ของผู้โดยสารและผู้ขับขี่ ไม่ได้เน้นความเป็นสปอร์ตเหมือนหน้าตาภายนอกนะครับ
จะว่า ไปแล้ว เมื่อดูรูปร่างหน้าตาของ พัลซาร์ แล้ว ผมว่าสวยสะดุดตาใช้ได้เลยครับ ไฟหน้าแบบไบซีนอน มีหลอดแอลอีดีมาให้ด้วย งานนี้คู่แข่งอย่าง มาสด้า 3 และ ฟอร์ด โฟกัส 5 ประตู มีคู่แข่งแล้ว
ด้านท้ายของรถเก๋ดีมากครับ กับไฟท้ายดวงเบ้อเริ่ม ที่ออกแบบให้โค้งไปตามบั้นท้ายของรถด้วย ดูทันสมัยดีครับ
สำหรับ เครื่องยนต์นั้น นิสสัน พัลซาร์ ใช้เครื่องยนต์เดียวกับ นิสสัน ซิลฟี ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดยมี 2 เครื่องยนต์ให้เลือกคือ ขนาด 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร ครับ ไม่ต้องคิดอะไรมาก
สำหรับ ขนาดของ พัลซาร์ นั้น ต้องบอกไว้ก่อนครับว่า พัลซาร์ เป็นรถยนต์ 5 ประตู ที่มีขนาดเดียวกับ นิสสัน ซิลฟี ดังนั้นอย่าไปคิดว่าจะเป็นรถ 5 ประตูขนาดเล็กเหมือนกับ นิสสัน ทีด้า นะครับ พัลซาร์ ใหญ่กว่ามาก
สำหรับ รถที่นิสสันเตรียมไว้ให้ลองขับ นั้น เป็น นิสสัน พัลซาร์ รุ่นท็อปสุด คือ รุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร แรงม้า 131 แรงม้าที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ส่วนระบบช่วงล่าง กันสะเทือน ยังไม่ยอมบอกครับว่าใช้แบบไหน
ก้าว เข้าไปในห้องโดยสารของ พัลซาร์ ก็ต้องบอกว่าภายในแผงคอนโซลของ พัลซาร์ นั้นถอดแบบมาจาก นิสสัน ซิลฟี ครับ เหมือนกันทุกอย่าง จะมีก็แต่สีของวัสดุภายในที่ใช้ ทั้งเป็นแผงคอนโซลกลาง แผงข้างประตูที่ใช้สีดำ และแต่งด้วยสีเมทัลลิก แถมเบาะหนังสีดำอีกด้วย ทำให้ดูมีระดับ และดูวัยรุ่นมากกว่า ซิลฟี ครับ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมชอบนะครับ ดูวัยรุ่นดี ไม่เหมือนกับ ซิลฟี ดูแก่ชะมัด หุหุ...
และ สิ่งที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างของ พัลซาร์ ก็คือ ความกว้างขวางภายในห้องโดยสารครับ นั่งยืดแข้งยืดขากันได้สบายๆ ไม่มีติดขัดให้เสียอารมณ์ ถือว่าเป็นรถ 5 ที่นั่ง ที่ผมว่านั่งสบายที่สุดในคู่แข่งระดับเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ฟอร์ด โฟกัส และ มาสด้า 3 ครับ
เรียกว่า ความใหญ่โต กว้างขวาง จะเป็นจุดเด่นของ พัลซาร์ อย่างแน่นอน
ไล่ เรียงมองแผงคอนโซล ก็ต้องบอกตัวเองว่า นิสสันอัดออปชัน มาไว้ใน พัลซาร์ ตัวท็อป เพียบ ทั้งเนวิเกเตอร์ จอแบบสัมผัส ที่สามารถเล่นดีวีดีได้ บลูทูธ เชื่อมโทรศัพท์ กล้องมองหลัง ระบบล็อกความเร็ว (ครุยซ์ คอนโทรล) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน พอเงยหน้าขึ้นไปก็เจอกับหลังคาแบบซันรูฟอีกด้วย
สำรวจ ภายในพอแล้ว ขอกดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์กันเลยดีกว่า ลองเหยียบคันเร่งเรียกกำลังเครื่องยนต์ดูเสียหน่อย อืม...อัตราเร่งเหมือนกับ ซิลฟี ไม่มีผิดเพี้ยน คือค่อยขึ้นๆ ไล่ความเร็วไปเรื่อยๆ ไม่กระโชกโฮกฮาก เป็นเครื่องยนต์แบบผู้ดี แถมทำงานร่วมกับเกียร์ CVT อีกด้วยยิ่งนุ่มนวลเข้าไปใหญ่
หันมา ที่ช่วงล่างกันบ้าง แม้ว่านิสสันจะไม่บอกว่าเป็นแบบไหน แต่ฟันธงครับ ช่วงล่างเดียวกับซิลฟี ทำให้ เจ้าพัลซาร์ กลายเป็นรถ 5 ประตู ที่มีช่วงล่างที่นุ่มที่สุดเท่าที่เคยขับรถ 5 ประตูเลยทีเดียว พวงมาลัยหนักกว่า ซิลฟี นิดหน่อยพอให้มีน้ำหนัก ซึ่งก็มาจากการใช้ล้อและยางขนาด 17 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่า ซิลฟี ที่ใช้ยางแค่ 16 นิ้วเท่านั้น ความเร็ว 150-160 กม./ชม. ก็ทำได้ไม่มีปัญหา อัตราสิ้นเปลืองทำได้ตั้งแต่ 12-15 กม./ลิตร ขึ้นกับความเร็วที่ใช้
ก็ ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยครับว่า หากใครที่คิดว่า พัลซาร์ จะเป็นรถ 5 ประตู ขับแบบสปอร์ตๆ สนุกๆ ช่วงล่างเฟิร์มๆ ละก็ ไม่น่าจะใช่ แต่กลับเป็นรถ 5 ประตู ที่มีบุคลิกขับสบายๆ ไปเรื่อยๆ ขับไม่สนุกแน่ แต่สบายละก็ใช่แน่
สนนราคาว่ากันว่า ถ้าเครื่อง 1.6 ลิตร อยู่ที่ 7.96-8.53 แสนบาท ส่วนตัวท็อป เครื่อง 1.8 ที่ได้ขับนั้น ลือว่า 9.51 แสนบาท
อยากได้รถหน้าตาสปอร์ต ออปชันเยอะ แต่ขับนุ่มๆ ก็น่าสนนะ!!





โดย...นิธิ ท้วมประถม
By www.posttoday.com

ตกแต่งห้องนอน สำหรับเด็ก



เป็นธรรมดาที่แต่ละครอบครัวจะมีรูปแบบการใช้ชีวิตแตกต่างกัน รวมไปถึงบ้านหรือคอนโด ที่มีลูกเล็กหรือเด็ก ๆ ต่างเพศต่างวัย ซึ่งต้องมีการเตรียมวางแผนตกแต่งห้องไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี
 
- การตกแต่งห้องนอนสำหรับเด็กนั้น เบื้องต้นต้องรู้ถึงนิสัย หรือพฤติกรรมของเด็กเสียก่อน โดยทั่วไปแล้วเด็กจะมีความซุกซน ไม่อยู่นิ่ง อยากรู้อยากเห็น ชอบทดลอง ชอบขีดเขียนและหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ เข้าปากเสมอ จึงต้องระวังไม่ให้มีสิ่งที่เป็นอันตราย มีความสะอาด ปลอดภัย และช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์และสติปัญญาของเขาได้เป็นหลัก
 
- กำหนดผังห้องเด็กไว้ใกล้ห้องพ่อแม่ ผู้ปกครอง โดยเฉพาะเด็กทารกและเด็กเล็ก เพื่อจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด อาจออกแบบไว้ในห้องเดียวกันแต่กั้นพื้นที่ไว้คนละด้าน หรือแยกห้องแต่เปิดเชื่อมได้ด้วยประตูที่ทะลุถึงกัน ซึ่งขนาดห้องไม่จำเป็นต้องใหญ่นัก แต่ควรเผื่อไว้สักหน่อยสำหรับอนาคต ทั้งยังต้องอยู่ในตำแหน่งที่มีลมพัดผ่าน แสงธรรมชาติส่องถึงและระบายอากาศได้ดี
 
- เลือกสิ่งจำเป็นในการใช้งานมาเป็นองค์ประกอบหลัก เช่น เตียงและที่นอนขนาดสมดุลกับรูปร่าง และเผื่อไว้ให้ใช้งานได้สักระยะหนึ่งเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย สำหรับเด็กเล็กควรมีราวกันตกเพื่อความปลอดภัย หรือถ้าเป็นที่นอนกับพื้นต้องมีความสูงไม่มากนักเพื่อไม่ให้กลิ้งตก นอกจากนี้ยังต้องมีตู้ลิ้นชักไว้เก็บของจำเป็น เช่น ผ้าอ้อม ถุงมือ ถุงเท้า รวมถึงตู้เสื้อผ้าที่เป็นสิ่งจำเป็น เช่นเดียวกับ โต๊ะ-เก้าอี้ทำการบ้าน และโคมไฟที่ควรเลือกแบบปรับลดความสว่างได้เพื่อถนอมสายตา ส่วนชั้นหนังสือก็ต้องมีขนาดและรูปแบบเหมาะสม แนะนำให้เป็นประเภทลอยตัวที่ง่ายต่อการเปลี่ยนแปลง หรือแบบอเนกประสงค์เพื่อประหยัดพื้นที่ อีกทั้งควรเลี่ยงไม่ให้มีเหลี่ยมคม หรือบานสวิงที่ทำให้เกิดอันตรายได้
 
- รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การตกแต่งที่ควรเป็นรูปแบบซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศให้สดใส สมวัย อีกทั้งควรเสริมด้วยองค์ประกอบที่ช่วยสร้างจินตนาการได้ดี เช่น โทนสีที่ดูสดชื่นสบายตา อาจให้เด็กมีส่วนร่วมในการเลือก และควบคุมใช้สีประเภทที่ปลอดภัยไม่มีสารเคมีเป็นอันตรายต่อการสัมผัสหรือ เข้าปาก เช่นเดียวกับวัสดุปูพื้นที่ต้องมีผิวสัมผัสนุ่ม อาจใช้พรมความหนาพอเหมาะเพื่อให้ทำความสะอาดง่ายและไม่เก็บฝุ่น หรือวัสดุประเภทกระเบื้องยาง และวัสดุอื่น ๆ ที่ไม่แข็งกระด้างนัก
 
- เติมเต็มแรงบันดาลใจและจินตนาการให้เด็กด้วยส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น ข้าวของเครื่องใช้ ของเล่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ม่านและลวดลายประดับ หรืออาจเพิ่มเติมด้วยการใช้วอลล์เปเปอร์และรูปภาพมาตกแต่ง ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย โดยควรเลือกชนิดที่เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย อาจเป็นลายการ์ตูน ดอกไม้ สัตว์ หรือลายกราฟิก อีกทั้งควรเพิ่มมุมสร้างสรรค์ไว้ในห้อง เช่น มุมทำงานศิลปะที่แขวนกระดานวาดภาพไว้ ชั้นสมุดภาพ หรือหนังสือนิทานเด็ก และที่ว่างไว้ทำกิจกรรมเสริมทักษะต่าง ๆ เช่น ตัวต่อเลโก้ เกมที่เหมาะกับวัย.




วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ลองของแนว MERCEDES BENZ NEW A-CLASS (ตอนที่2)



ตอน ที่สองกับการซิ่ง New A-Class ไปบนสนามแข่งโบนันซ่า ทดสอบการควบคุมตัวรถในสถานการณ์ต่างๆ โชว์ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และระบบรองรับที่เฉียบคมสุดๆ...

บริษัท Mercedes Benz Thailand Co,Ltd. เชิญสื่อมวลชนและลูกค้า VIP ทดสอบสมรรถนะเชิงประสิทธิภาพของการควบคุม อบรมการขับขี่แบบปลอดภัย การควบคุมรถในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงการแก้ไขอาการของรถที่กำลังเสียหลัก โดยใช้รถทดสอบ Mercedes-Benz A-Class รุ่นล่าสุดทั้ง A180 Style และ A250 AMG Sport ในงาน Mercedes Benz Driving Experience 2013 เปิดประสบการณ์เรียนรู้วิธีควบคุมรถแบบปลอดภัย บนสนามเซอร์กิตเป็นครั้งแรก ด้วยรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ The new A-Class คอมแพ็คคาร์เจเนอเรชั่นใหม่ พร้อมด้วยเทรนเนอร์ดีกรีนักแข่งรถมืออาชีพจากประเทศออสเตรเลีย แนะเทคนิคให้แก่กลุ่มลูกค้าและสื่อมวลชน ณ สนามแข่งโบนันซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล สปีดเวย์

11.30 น. วันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2556 มาร์ทิน ชูลซ์ รองประธานบริหาร ฝ่ายขายและการตลาด บริษัท Mercedes Benz Thailand Co,Ltd. กล่าวต่อผู้สื่อข่าวในช่วงสายของวันเปิดงาน ภายในห้องแถลงข่าวของสนามแข่งรถโบนันซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล สปีดเวย์ ว่า “ปีนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของ Mercedes Benz กับกิจกรรม Mercedes-Benz Driving Experience (MBDE) ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 10 โดยในปีนี้กิจกรรมการทดสอบมีความพิเศษและแตกต่างจากทุกปีที่ผ่านมา คือ การนำรถยนต์ Mercedes Benz The new A-Class มาใช้ในการทดสอบสมรรถนะเชิงความปลอดภัยบนสนามแข่งเป็นครั้งแรก ซึ่งเล็งเห็นว่า การทดสอบสมรรถนะเชิงความปลอดภัยถือเป็นส่วนสำคัญยิ่งในปรัชญาด้านความ ปลอดภัยแบบบูรณาการ Mercedes Benz Thailand Co,Ltd. จึงได้นำทีมนักแข่งมืออาชีพที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการขับขี่บนสนาม แข่งมาแนะเทคนิคการขับขี่ให้แก่บรรดาลูกค้าและสื่อมวลชน ร่วมกับทีมผู้ฝึกสอนจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)” กิจกรรมทดสอบสมรรถนะความปลอดภัย “Mercedes-Benz A-Class Driving Experience” จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 รวมระยะเวลาการจัดทดสอบ 18 วัน (ระหว่างวันที่ 7 - 24 กุมภาพันธ์ 2556) โดยดำเนินการจัดทดสอบในสนามแข่ง ณ สนามแข่งโบนันซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล สปีดเวย์ เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา


คม กริช นงค์สวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท Mercedes Benz Thailand Co,Ltd. ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวถึงจุดประสงค์ของการจัดทดสอบเรียนรู้การขับขี่และ สัมผัสกับสมรรถนะของ New A-Class 2013 ในครั้งนี้ว่า “Mercedes Benz เห็นว่ากิจกรรมการทดสอบสมรรถนะเชิงความปลอดภัยเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ ลูกค้าได้มีประสบการณ์ขับขี่รถยนต์ A-Class ถึงศักยภาพขีดความสามารถในสมรรถนะและประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ พร้อมเข้าใจถึงระบบความปลอดภัยต่างๆ ซึ่ง Benz ได้จัดเตรียมรถยนต์ New A-Class รุ่น A 250 AMG Sport และA 180 Style สำหรับการทดสอบไว้ถึง 15 คัน โดยจัดทีมผู้ฝึกสอนมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญและมีดีกรีเป็นนักแข่งรถมือ อาชีพจากประเทศออสเตรเลีย 4 ท่าน ซึ่งมีประสบการณ์การสอนการขับขี่ปลอดภัยและการขับขี่บนสนามแข่งมาแล้วทั่ว โลก นำทีมโดย ปีเตอร์ แฮ็คเก็ต- เอลเลียต บาร์เบอร์ - จอร์ช มีเด็กค์ และ โร ชาร์ลส ร่วมด้วยผู้ฝึกสอนจาก Mercedes Benz Thailand Co,Ltd. อัชฌ์ บุณยประสิทธิ์ และ ชัยวัธน์ แก้วงามอรุณ ซึ่งผ่านการฝึกอบรมโปรแกรมการขับขี่ปลอดภัยและได้รับประกาศนียบัตรรับรอง มาตรฐานจาก Mercedes Benz ประเทศเยอรมนี รวมถึง สิรคุปต์ เมทะนี นักแสดงและนักแข่งรถมืออาชีพ”


The New A-Class เป็นรถยนต์คอมแพ็คคาร์เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด ดีไซน์แบบใหม่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ในเซ็กเมนท์นี้ และยังเป็นยนตรกรรมที่เปรียบเสมือนจังหวะชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่มีสไตล์เป็น ของตัวเอง รักในความเป็นสปอร์ต ปราดเปรียว คล่องแคล่ว มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินแบบแถวเรียง 4 สูบเทอร์โบ ที่ถ่ายทอดผ่านกำลังเกียร์อัตโนมัติแบบ 7G-DCT พร้อมด้วยฟังก์ชั่น ECO Start/Stop โดย The New A-Class ถือเป็นมาตรฐานใหม่ในด้านการประหยัดพลังงาน ทั้งประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันที่สูงขึ้นถึง 26% รวมทั้งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 98 กรัมต่อกิโลเมตร นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยไม่ว่าจะเป็น โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESP® – Electronic Stability Program) ที่ช่วยให้ล้อรถยนต์ยึดเกาะผิวถนนได้ดีขึ้น รวมถึงการควบคุมการทรงตัวของระบบช่วงล่าง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นฟีทเจอร์มาตรฐานของรถยนต์ยี่ห้ออื่นๆ ทั่วโลก ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบช่วยเบรก BAS (Brake Assist), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Acceleration skid control) เป็นต้น ซึ่งทำให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพบนท้องถนน


การ ทดสอบจะใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ซึ่งประกอบไปด้วยแบบทดสอบลักษณะต่างๆ ได้แก่ การบังคับรถในทิศทางที่กำหนด (Handling Challenge) การขับด้วยความเร็วและเปลี่ยนช่องทางวิ่งแบบกะทันหัน (High Speed Lane Change) เพื่อเรียนรู้อาการของรถและการควบคุมรถอย่างถูกวิธีเมื่อขับด้วยความเร็วสูง และการจำลองสถานการณ์เพื่อทดสอบโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ หรือ ESP® – Electronic Stability Program (ESP® Simulator) เมื่อต้องควบคุมรถในสถานการณ์คับขัน เช่น หักหลบสิ่งกีดขวางบนถนนเปียกลื่น และเปรียบเทียบอาการเสียการทรงตัว อาการเข้าโค้งและหลุดโค้ง เป็นต้น นายคมกริช กล่าวสรุปว่า “ในการทดสอบสมรรถนะเชิงความปลอดภัยด้วยรถยนต์ Mercedes Benz New A-Class บนสนามแข่งในครั้งนี้ นอกจากผู้เข้ารับการทดสอบจะได้รับประสบการณ์จริง มีความเข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีความปลอดภัยอันทันสมัยที่ติด มากับตัวรถได้อย่างเต็มที่บนสนามแข่งเป็นครั้งแรกแล้ว ผู้เข้าร่วมทดสอบทุกท่านที่ผ่านการทำแบบทดสอบจะได้รับประกาศนียบัตรรับรอง จากทางบริษัทฯ อีกด้วย”


12.00 น. ทีมงาน Instructor ของ Mercedes Benz แบ่งสื่อมวลชนออกเป็นสามทีมเพื่อลงทดสอบพร้อมๆ กันทั้งสี่สถานี สำหรับสถานีแรกเป็นการทดสอบการทรงตัวของ New A-Class ซึ่งใช้การขับขี่แบบ Handling Challenge - Gymkhana สลาลมหลบกรวยไพล่อนที่ตั้งวางเรียงรายอยู่บนแทร็คของสนามแข่งโบนันซ่าในช่วง ปลายทางตรงก่อนเข้าโค้ง สเตชั่นแรกของการเรียนรู้และการควบคุมรถ New A-Class เริ่มจากท่านั่งที่ถูกต้อง การจัดวางขาและแขนให้มีความสัมพันธ์กับการหมุนพวงมาลัยหรือเหยียบแป้นคัน เร่ง-เบรก Instructor นักขับรถแข่งชาวออสซี่ Elliot Barbour และคุณอั๋น สิรคุปต์ เมทะนี นักแสดงและนักแข่งรถมืออาชีพ ซึ่งรับหน้าที่ผู้ฝึกสอนประจำสเตเชั่น Handling Challenge - Gymkhana แนะนำการจัดท่านั่งที่ถูกต้อง สำหรับการขับขี่แบบยิมคาน่าที่ต้องใช้ความเร็วมากกว่าการขับแบบปกติ เบาะนั่งถูกปรับลงไปจนสุดเพื่อให้จุดศูนย์ถ่วงของการนั่งควบคุมรถมีความ สมดุล บนตัวรถทดสอบ Mercedes Benz New A-Class A250 AMG Sport จำนวนห้าคันซึ่งเป็นรุ่นสูงสุดทั้งแรงม้าและอุปกรณ์ตกแต่ง สำหรับรถรุ่น A250 AMG Sport นอกจากจะมีชุดแต่งของ AMG แล้ว ยังใส่ล้ออัลลอยของ AMG ลาย 5 ก้านขอบ 18 นิ้วกับยาง Michelin Pilot Sport ไซล์ 225/40/R18 เป็นยางที่เหมาะสมกับรถแฮตช์แบคที่มีเรี่ยวแรงเกิน 200 แรงม้า บนสถานีทดสอบแรก ผมรอจนเพื่อนๆ สื่อมวลชนขับขี่ไปคนละรอบ-สองรอบก่อนเพื่อให้ยางและเบรกมีอุณหภูมิที่อุ่น ขึ้น หลังจากนั้นจึงออกไปขับเป็นคนท้ายๆ สถานีนี้ สำหรับผู้ที่ทำเวลาได้ต่ำที่สุดจะมีรางวัลเป็นรถจำลอง New A-Class A250 AMG Sport ขนาด 1:18 ทำให้เพื่อนๆ หลายคนรวมทั้งตัวผมผลักดันเจ้า A250 AMG ในช่วงจับเวลาจนแทบจะถึงขอบเขตอันจำกัดของตัวรถเลยทีเดียว


พวง มาลัยไฟฟ้าของ A250 AMG ในโหมดสูงสุดให้ความกระชับและฉับไวในระดับที่น่าพึงพอใจ เมื่อมาอยู่ในรถขับเคลื่อนล้อหน้าทำให้การควบคุมทิศทางค่อนข้างง่ายและมี น้ำหนักที่พอเหมาะพอควร ไม่เบาหวิวจนน่ากลัวหรือหนักจนเกินไป มันคมและมีกริ้บของยาง Michelin Pilot Sport เป็นตัวปรุงแต่งให้ขับแบบยิมคาน่าได้สนุกสนานมากยิ่งขึ้น กรวยไพล่อนที่ตั้งอยู่ชิดกันยังช่วยบีบให้ความเร็วของรถไม่สูงมากจนเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้สำหรับบางคนที่ขับเร็วมากจนเกินพอดี การถ่ายเทน้ำหนักทำได้ดีอย่างไร้ที่ติ อาการหน้ายุบหรือย้วยของ New A-Class เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยจากระบบรองรับแบบสปอร์ตที่เซตมาจากโรงงานที่ให้ความ รู้สึกหนึบนุ่มมากกว่าแนวแข็งกระด้าง ส่วนอาการหน้าดื้อนั้น หากใช้คันเร่งให้มีความเหมาะสมกับการสาวพวงมาลัย มันจะเลี้ยวกลับลำ 360 องศาด้วยมุมเลี้ยวที่ค่อนข้างแคบ สถานีแรกนี้มีการใช้เบรกกันพอสมควรไม่หนักแบบสถานีที่สองซึ่งเป็นการจำลอง สถานการณ์เปลี่ยนทิศทางแบบกะทันหันหรือ Lane change สำหรับเวลาที่ดีที่สุดในสเตชั่น Handling Challenge - Gymkhana คือ คุณอัฐฐา นายเรือ ที่ทำได้ 18.01 วินาที คว้ารางวัลรถจำลอง A250 AMG สีเงินไปครอบครองทันที ส่วนผมล่อไปถึง 20.19 วินาที แต่ก็ยังถือว่าโอเคเพราะไม่ได้ชนกรวยไพล่อนเลยแม้แต่อันเดียว


สถานี หรือสเตชั่นทดสอบที่สองเป็นการฝึกบังคับควบคุมหักเหทิศทางของรถแบบกะทันหัน หรือ Lane change เจ้าหน้าที่นักขับของทีมงาน Mercedes Benz ประกอบด้วย Peter Hackett นักแข่งรถคนแรกที่ชนะเลิศทั้งการแข่งขัน Australia Formula 4000 และ Formula 3 Championship กับคุณชัยวัธน์ แก้วงามอรุณ ซึ่งผ่านการฝึกอบรมโปรแกรมการขับขี่ปลอดภัยระดับสูงและได้รับประกาศนียบัตร รับรองมาตรฐานจาก Mercedes Benz ประเทศเยอรมนี สถานีนี้กรวยไพล่อนถูกตั้งเพื่อกำหนดให้ตัวรถสามารถทำความเร็วได้ระดับหนึ่ง (ประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) แล้วหักหลบซ้ายขวาสองครั้งก่อนที่จะพุ่งไปยังตำแหน่งที่จะต้องใช้เบรกแบบ เต็มกำลัง สถานีนี้สร้างความตื่นเต้นจากความเร็วของตัวรถที่เพิ่มมากขึ้นกว่าสถานีแรก เสียงยางเสียดสีกับผิวแทร็คและเสียงเบรกอย่างรุนแรงดังต่อเนื่องตลอดเวลาที่ สื่อมวลชนได้ลงไปสัมผัสทดสอบการควบคุมที่ต้องใช้ทักษะเพิ่มมากขึ้น ผมใช้รถทดสอบ A250 AMG Sport สีเทาที่ผ่านการวิ่งมาอย่างโชกโชนตั้งแต่วันแรกๆ ของงาน Mercedes-Benz Driving Experience (MBDE) ยาง Michelin Pilot Sport ถูกเปลี่ยนทันทีที่โดนตรวจพบว่าเกิดรอยบั้งขึ้นที่ขอบหน้ายาง บูธของ Michelin รับหน้าที่เป็นบริษัทยางเจ้าประจำสำหรับใช้ขับทดสอบในงาน Mercedes Benz Driving Experience ด้วยการเตรียมสำรองยางสำหรับการขับทดสอบที่เปลืองหน้ายางมากกว่าการขับแบบ ปกติ


เมื่อ กดคันเร่งพุ่งออกมาจากจุดสตาร์ตที่ใช้ทดสอบ ESP® – Electronic Stability Program (ESP® Simulator) ไฟสัญญาณเตือนการทำงานของ Traction Control ระบบช่วยทรงตัว ESP กะพริบถี่ยิบ ความเร็วอยู่ในระดับกำหนดไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมเล็งไปที่ทิศทางที่จะมุ่งหน้าไปตามคำแนะนำของคุณชัยวัธน์ แก้วงามอรุณ โดยไม่มองไปที่กรวยไพล่อนซึ่งเป็นอุปสรรคที่ถูกตั้งเรียงรายเอาไว้เพื่อ บังคับทั้งทิศทางและความเร็ว ผมหักพวงมาลัยไปทางซ้ายและขวาตามทิศทางที่ถูกกำหนด ก่อนเจ้า A250 AMG จะทะยานผ่านจุดที่ต้องเบรกแบบเต็มกำลัง การหักพวงมาลัยอย่างต่อเนื่องใน A250 AMG ให้ความรู้สึกที่มั่นคง แม้ด้านหน้ารถจะออกอาการดื้อบ้างเล็กๆ เมื่อผมเติมคันเร่งมากเกินไปจนไม่สัมพันธ์กับการหักพวงมาลัย แต่ระบบควบคุมการทรงตัวที่เปิดเอาไว้ได้เข้ามาแทรกแซง และทำให้การหักหัวรถ เปลี่ยนทิศทางทำได้ดีและให้ความมั่นใจได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ เบรกมีแรงต้านเล็กน้อยพร้อมๆ ไปกับการทำงานของระบบป้องกันล้อล็อกหรือ ABS ดังตึกๆๆ ทันทีที่ลงน้ำหนักเบรกแบบเต็มกำลัง แม้จะมีระยะเบรกเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ทิศทางที่รถมุ่งไปกลับมั่นคงไม่มีอาการส่าย หรือวอกแวกแม้แต่น้อย ระบบป้องกันล้อล็อกของ New A-Class ยังช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทิศทางของรถขณะเบรกได้อีกด้วย ที่สถานีที่สอง สื่อมวลชนได้ลองควบคุมโดยใช้การหักหลบเปลี่ยนทิศทางแบบกะทันหันกันอย่าง จุใจถึงคนละ 3-4 รอบเลยทีเดียว เป็นอีกสถานีหนึ่งที่ยางและระบบห้ามล้อรวมถึงพวงมาลัยไฟฟ้าต้องทำงานอย่าง หนัก


สถานี ที่สามเป็นการขับ A250 AMG รุ่นสูงสุด บนรูปแบบของการแข่งขัน Quarter Mile หรือ Drag Racing เพื่อทดสอบอัตราเร่งของเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 209 แรงม้าที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับขนาดของตัวรถ วิศวกรของ Mercedes Benz เคลมว่ามันสามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรได้ในเวลาเพียง 6.6 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 241.4 ในการตะกายไปถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงของรถ A-Class รุ่นสูงสุด ครูฝึก Peter Hackett ชาวออสเตรเลียและคุณชัยวัธน์ แก้วงามอรุณ จัดประกับคู่โดยปล่อยรถทีละสองคันจากจุดสตาร์ต เร่งความเร็วจนเข้าเส้นชัยบนระยะทาง 400 เมตร ผมใช้วีธีการออกตัวโดยกดคันเร่งและแป้นเบรกไปพร้อมๆ กัน เกียร์ 7G-DCT พร้อมระบบ ECO Stop/Start สำหรับรุ่นสูงสุด A-Class A250 AMG Sport Package มีสมองกลเกียร์ที่ฉลาดเกินเหตุ เมื่อผมกดทั้งเบรกทั้งคันเร่งเพื่อการออกตัวที่รวดเร็ว ระบบควบคุมจะส่งสัญญาณเตือนเป็นตัวอักษร HOLD MODE บนจอมัลติฟังก์ชั่น เป็นการเตือนแบบกะพริบถี่ๆ ผมถอนเท้าซ้ายออกจากแป้นเบรกพร้อมๆ กับกดเท้าขวาลงลึกไปที่คันเร่ง เจ้า A250 AMG Sport Package ออกตัวแบบเนือยๆ แตกต่างจากรถคันข้างๆ ที่ออกตัวอย่างรวดเร็วทั้งๆที่ใช้เพียงแค่การกดเท้าไป ที่แป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียว เกิดจากเกียร์ที่มีระบบป้องกันการออกตัวอย่างไม่ถูกวิธีที่จะทำให้เกิดการ สึกหรออย่างรวดเร็วนั่นเอง ในรอบที่สอง ผมเพียงแค่กดคันเร่งลงไปจนสุดโดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับแป้นเบรก เจ้า A250 AMG พุ่งทะยานไปตามแรงเท้าพร้อมๆ ไปกับแรงดึงที่ทำให้รู้สึกสนุก เวลา 6.6 วินาที สำหรับการตะกายไปถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำให้มันได้เปรียบเจ้า MINI Cooper S R56 อยู่นิดๆ แต่ถึงแม้ว่ากำลังของ A250 AMG จะเหนือกว่ารถเล็กที่สร้างโดย BMW คู่แข่งสำคัญในตลาด การเข้าออกโค้ง MINI กลับให้ความรู้สึกที่คมกว่าจากระบบรองรับที่เซตมาเพื่อการซิ่งสถานเดียว ไม่ได้ปรับตั้งมาในรูปแบบซิ่งก็ได้ไหลก็ดีอย่าง New A-Class


สถานี สุดท้ายเป็นการเรียนรู้การควบคุมรถขณะที่ต้องเบรกในผิวถนนที่มีน้ำปกคลุม สเตชั่นที่สี่เป็นหน้าที่ของคุณอัชฌ์ บุณยประสิทธิ์ หรือคุณดอม กับนักขับออสซี่ George Miedecke ซึ่งเคยได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขัน AMRS Production Touring Car Championship ใน Class B อีกทั้งยังได้รับรางวัล“ดาวรุ่งที่น่าจับตามอง” รวมถึงการเป็นนักขับทดสอบของรถแข่งพลังสูงแบบ V8 Super car ในทวีปออสเตรเลีย สถานีนี้ครูฝึกสอนทั้งสองคนใช้รถ Mercedes Benz A180 Style รวม 5 คัน โดยทุกคันจะถูกปิดระบบช่วยทรงตัวหรือ ESP® – Electronic Stability Control เหลือเพียงแค่ฝีมือล้วนๆ ในการขับทดสอบที่ต้องหักหลบไพล่อนในสถานการณ์ที่ผิวถนนมีน้ำฉาบอยู่ ล้อคู่หลังของรถทดสอบ Benz A180 Style ทั้ง 5 คัน ยังถูกคลุมด้วยยางพลาสติกที่ช่วยให้ลื่นขึ้นไปอีกระดับ มันลื่นจนเหมือนกับวิ่งอยู่บนถนนที่ถูกราดด้วยเนยเหลวๆ ท้ายรถที่พร้อมจะปัดตัวเองตลอดเวลาหากกระตุกพวงมาลัย ทำให้สามารถเรียนรู้ เคล็ดลับในการแก้อาการของตัวรถขณะเกิดการปัดหรือหมุนจากการเบรกเต็มกำลังบน พื้นถนนที่เปียกลื่น พวงมาลัยไฟฟ้าของ A180 Style นั้นเบาสบายมืออยู่แล้วในย่านความเร็วต่ำ การแต่งพวงมาลัยแก้อาการท้ายปัดช่วยเพิ่มพูนทักษะในการควบคุมตัวรถตามคำแนะ นำของครูฝึก และเนื่องจากยังพอมีเวลาเหลืออยู่ สถานีสุดท้ายในการลองขับบนผิวถนนที่เปียกลื่นแล้วจึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน จากท้ายรถที่คอยจะปัดอยู่ตลอดเวลา เมื่อปราศจากระบบช่วยทรงตัว ESP® – Electronic Stability Control เจ้า New A-Class ไม่ต่างไปจากม้าพยศที่คอยจะหมุนซ้ายป่ายขวาอยู่ตลอดเวลาเมื่อเบรกแบบเต็ม กำลังหรือหักพวงมาลัยแบบฉับพลันทันที การควบคุมทิศทางจึงจำเป็นต้องแก้ที่การหักพวงมาลัยไปยังทิศที่ตรงกันข้ามกับ ท้ายรถที่กำลังปัดอย่างรุนแรง เทคนิคที่ครูฝึกแนะนำจะเกิดประโยชน์อย่างมากสำหรับการแก้ไขในสถานการณ์จริง หากรถเกิดการเสียหลัก เช่น ท้ายปัดหรือหมุนเนื่องจากการหักพวงมาลัยหรือเบรกขณะผิวถนนเปียกลื่น


สเต ชั่นของการฝึกทั้งสี่สถานีจบลงในช่วงเย็น หลังจากนั้นเป็นการเชิญสื่อมวลชนทั้งหมดนั่งไปกับนักขับระดับเซียนชาวออสซี่ สี่คนและครูฝึกจากประเทศไทยทั้งสองท่าน ในช่วง Hot Lap บนตัวรถ A250 AMG Sport ซึ่งใช้ความเร็วหรือสปีดในระดับที่ใช้สำหรับการแข่งขันแบบเซอร์กิต การนั่งไปบนรถสปอร์ตที่กำลังอัดเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงในสนามแข่งรถโบนัน ซ่าสร้างความตื่นเต้นประทับใจให้กับสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก ประสิทธิภาพของตัวรถทั้ง A180 และ A250 สำหรับการขับทดสอบในสนามยังทำให้รู้ถึงความสามารถของระบบรองรับ เครื่องยนต์ เบรก ชุดส่งกำลังและระบบความปลอดภัยต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวรถรุ่นนี้ คงต้องรออีกสักระยะสำหรับการทดสอบวิ่งทางไกลที่จะมีขึ้นอีกครั้งหลังจากการ ทดสอบในสนามแข่งรถสิ้นสุดลงในช่วงปลายเดือนนี้ โดยส่วนตัวแล้ว เจ้า New A-Class เป็นยนตรกรรมแฮตช์แบค 5 ประตูที่ควบคุมได้ง่ายดายราวกับรถเด็กเล่น ไม่ว่าคุณจะอายุ 20 หรือ 70 ปีก็สามารถขับเจ้านี่ได้อย่างคล่องแคล่ว ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของการขับขี่ด้อยลงแต่อย่างใด ทั้งสิ้น รูปแบบและสีสันที่สวยงามของมันจะทำให้คุณชอบมันได้ไม่ยาก และจะรักมันมากขึ้นเมื่อได้ลอง ภายในที่ลงตัวทั้งรุ่นปกติและรุ่นสูงสุดจะมีส่วนช่วยให้ตัวเลขยอดขายไปได้ดี ในตลาดรถเล็กระดับสูงของไทย ด้วยเงิน 1.89-2.5 ล้านบาท คุณจะได้รถที่วิ่งได้ดีพอๆ กับรถซิ่งในสนาม งานตกแต่งห้องโดยสารที่โดนใจและสภาพการขับขี่ที่ไม่เป็นรองรถคู่แข่ง หากสนใจก็ลองไปขับทดสอบด้วยตัวเองตามโชว์รูมของตัวแทนจำหน่ายของค่าย Mercedes Benz Thailand ดูว่ามันตรงและโดนกับความชอบของคุณหรือเปล่า สำหรับผมแล้ว การมีเจ้าตัวเล็กอีกคันในโรงรถที่บ้านหากยังพอมีที่จอดเหลือพอสำหรับมัน บนการใช้งานทั้งในเมืองและวิ่งทางไกล มันจะเป็นยานพาหนะขนาดกะทัดรัดอีกคันที่ทำให้คุณพึงพอใจได้อย่างไม่ยากเย็น นัก.


อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail @thairath.co.th">chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom


http://www.roddb.com/images/banners/RodDB_88x31.gif