วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ลองขับ : ฮอนด้า บรีโอ้ เล็กนี้ พริกขี้หนูจริง

ลองขับ "บริโอ้" อีโคคาร์คันแรกจากฮอนด้า กับอัตราเร่งจี๊ดจ๊าดเกินตัวที่มาพร้อมตัวเลขประหยัดน้ำมันที่เฉียด 20กิโลต่อลิตร
โดย...นิธิ ท้วมประถม
แม้ว่าบริษัทฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จะประกาศหยุดรับจอง ฮอนด้า บริโอ้ รถยนต์อีโคคาร์ รุ่นที่ 2 ของประเทศไทยไปเมื่อปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เพราะขาดแคลนอะไหล่บางชิ้นที่ต้องส่งมาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งโรงงานผลิตชิ้นส่วนเหล่านั้นได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว และสึนามิ
แต่ปัญหาเหล่านั้น ก็ไม่ได้ทำให้บริษัทฮอนด้า ถอดใจ แต่อย่างใด โดยยังเดินหน้าจัดทดลองขับ ฮอนด้า บริโอ้ ตามเดิม แม้ว่าจะยังไม่สามารถให้คำตอบได้ว่า จะสามารถส่งมอบรถ ฮอนด้า บริโอ้ ให้ลูกค้าได้เมื่อใด
เรามั่นใจว่า สินค้าของเราดี จึงต้องการให้ทุกคนได้สัมผัสกับ ซึ่งเชื่อว่าสมรรถนะของฮอนด้า บริโอ้ จะทำให้ทุกคนพอใจ และนำไปบอกต่อกับลูกค้าของเราได้” คำพูดนี้ เป็นคำพูดของ อาซึชิ ฟูจิโมโตะ ประธานบริษัทฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ที่บอกถึงสาเหตุที่ไม่เลื่อนทริปการทดลองขับ ฮอนด้า บริโอ้
เส้นทางการลองขับ ฮอนด้า บรีโอ้ ที่ทางทีมงานกำหนดไว้ คือ ตัวเมืองเชียงราย-ดอยตุง ระยะทางไปกลับกว่า 100 กิโลเมตร ที่ผมมองว่าเป็นเส้นทางที่ค่อนข้าง “โอหัง” พอสมควร กับรถยนต์คันเล็กๆ ที่มีเครื่องยนต์เพียง 1.2 ลิตร กับเส้นทางที่ค่อนข้างชันยามขึ้นดอยตุง แต่ทีมงานฮอนด้า คงจะมั่นใจว่า บริโอ้ “มีดี” พอที่จะอวดละมั้ง
ฮอนด้า บรีโอ้ สีน้ำเงินเข้ม จอดรอผมอยู่ด้านหน้าโรงแรม พร้อมที่จะให้ไป “ลองของ” อีโคคาร์ รุ่นที่ 2 ของเมืองไทยกันจริงๆ แล้ว
บริโอ้ นั้นถูกออกแบบมาบนแนวความคิด 3 ประการคือ 1.การออกแบบที่ล้ำสมัย 2.การจัดวางที่มีประสิทธิภาพ คือ การขับขี่ในเมืองได้อย่างคล่องตัว และมีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอสำหรับการใช้งาน และ 3.สมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ คือทั้งประหยัดน้ำมัน และขับได้อย่างเพลิดเพลิน
ก็ต้องมาดูกันครับว่า ตัวจริงเสียงจริงของบริโอ้ นั้นเป็นไปอย่างที่ฮอนด้า คิดหรือเปล่า เริ่มตั้งแต่การออกแบบ บริโอ้ ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยชอบหน้าตาของ บริโอ้ เท่าไหร่ ดูยังไงไม่รู้ ด้านหน้าก็ดูสวยดี แต่ด้านหลังดูตลกๆ ด้วยความเป็นรถ 5 ประตู ทำให้ด้านท้ายดูสั้นๆ แปลกตาครับ หากใครไม่ชอบรถ 5 ประตู จะรอบริโอ้ เวอร์ชั่น 4 ประตู ที่อีก 2 ปี กว่าจะเปิดตัวก็ไม่ว่ากัน
เดินดูรอบๆ แล้วบอกได้เลยว่าขนาดของบริโอ้ นั้นกระทัดรัดดีครับ เหมาะแน่ๆ หากจะใช้งานในเมือง ซุกหน้าเข้าไปจอดแถวไหนก็สะดวก บานประตูหลังเป็นกระจกทั้งบานครับ เวลาเปิดก็ยกกระจกขึ้นมาเลย เก๋ดีไม่น้อยทีเดียว ซึ่งฮอนด้าบอกว่าที่ทำฝาท้ายเป็นกระจกทั้งบาน ก็เพื่อทำให้ทัศนวิสัยการมองหลังกว้างกว่าปกติ
เปิดประตูรถก้าวเข้ามาภายใน ก็ค่อนข้างแปลกตากับ วัสดุภายในของบริโอ้ ที่ดูจะมีคุณภาพน้อยไปนิด เพราะเราจะคุ้นกับวัสดุภายในของรถยนต์ฮอนด้า ที่ค่อนข้าง “เนี้ยบ” พอมาเจอกับวัสดุประเภทประหยัดต้นทุนเลยไม่ค่อยคุ้นตาครับ แต่ถ้าไม่คิดอะไรมากก็ไม่มีปัญหา
ฮอนด้า ออกแบบสีภายในตัวรถบริโอ้ ให้เป็นทูโทนทั้งหมดครับ ทั้งเบาะรถและคอนโซลหน้า ที่เป็นสีน้ำตาล และดำ ซึ่งฮอนด้า บอกว่าต้องการให้ดูไฮโซ ก็ว่ากันไป มีที่วางแก้วน้ำ 2 ใบ ที่คอนโซลกลาง ซึ่งถือว่าพึ่งพาได้ดีกว่า ที่วางขวดน้ำบริเวณแผงข้างประตูที่ค่อนข้างแคบครับ แค่จะเอามือสอดไปก็ยากแล้ว
แต่ที่ผมชอบคือ มาตรวัดแบบ 3 วง ที่วางซ้อนกันดูทันสมัยดีครับ มาตรวัดขนาดใหญ่ตรงกลางคือมาตรวัดความเร็ว ที่มีจอแสดงข้อมูลทั้งอัตราการสิ้นเปลือง ระยะทาง ติดตั้งไว้ด้วย ส่วนมาตรวัดแบบครึ่งวงกลมด้านซ้ายคือมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ และมาตรวัดด้านขวาคือ ไฟแสดงสถานะต่างๆ ของรถครับ
เบาะนั่งคนขับปรับระดับเอนได้ เลื่อนหน้า-หลังได้ แต่ไม่สามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้ แต่เบาะก็หนานุ่มพอใช้ครับ นั่งสบายดีไม่เมื่อยหลังครับ ความกว้างขวางของที่นั่งคนขับ และผู้โดยสารตอนหน้านั้นบอกได้ว่าเหลือเฟือ ไม่แคบเลยสักนิด นั่งสบายใช้ได้เลยทีเดียว
ส่วนที่นั่งผู้โดยสารตอนหลังนั้นผมลองไปนั่งแล้ว ก็พอไหวครับ พื้นที่วางขาอาจจะน้อยไปนิด แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ผู้โดยสารตอนหลังต้องระวังหน่อยนะครับ อย่าเผลอหลับ ไม่อย่างนั้นเวลารถออกตัวหัวจะผงกไปด้านหลังแบบเวลาเราเผลอนั่งหลับบนรถเมล์ นั่นแหละครับ ก็เบาะนั่งตอนหลังของบริโอ้ นั้นไม่มีหมอนรองศรีษะไว้รับแต่อย่างใด
ระบบเครื่องเสียงก็โอเค ที่ให้มาใช้ได้แล้วครับ แต่ไม่มีเครื่องเล่นซีดี มีแต่ช่อง USB กับ ช่องต่อ AUX ใว้เชื่อมต่อกับไฟล์เพลง และเครื่องเล่นเอ็มพี 3 แทน ก็สะดวกไปอีกแบบครับ พกแค่ USB ก็ฟังเพลงได้ถึงเชียงใหม่แล้ว
ภายในของ ฮอนด้า บริโอ้ นั้นภาพรวมถือว่าผ่านเลยครับ แต่ที่น่าติอยู่อย่างคือ ช่องเก็บของข้างประตูทั้ง 4 บาน ในส่วนที่เป็นประตูนั้นฮอนด้า ไม่ได้เก็บสีให้เป็นสีเดียวกับภายใน กลับปล่อยเป็นสีเปลือยของตัวรถ เลยดูราคาถูกไปเลย ส่วนลำโพงหลังนั้นมีแต่ กรอบลำโพงนะครับ ไม่มีเสียงออกมา เวลาซื้อไป ก็ไปเพิ่มกันเอาเองแล้วกัน
เบาะนั่งด้านหลังสามารถพับได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังให้มากขึ้นกว่าปกติ เวลาพับเบาะหลังแล้ว เบาะไม่ได้แบนเรียบเหมือนกับเบาะหลังของฮอนด้าแจ๊สนะครับ แต่ก็ถือว่าเพิ่มพื้นที่มาได้มากแล้ว
ทัศนวิสัยในการชับขี่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก กระจ่างตาดีครับทั้งกระจกด้านหน้า และกระจกหลัง ที่ฮอนด้า ออกแบบให้ฝาด้านท้ายเป็นกระจกทั้งบาน นั้นทำให้เวลามองกระจกหลังแล้วกระจ่างตาเหลือเกิน มุมมองด้านหลังกว้างมากครับ เยี่ยมไปเลย
เริ่มขับกันดีกว่าครับ เริ่มกันที่เกียร์อัตโนมัติก่อนเลย สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วไปเลยครับ คาตำแหน่งเกียร์ไว้ที่ D นี่แหละจะได้รู้ไปเลยว่าเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 90 แรงม้าที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิด 110 นิวตันเมตร ทีรอบเครื่องยนต์ 4,800 รอบต่อนาที นั้นจะไหวหรือเปล่า
เพียงแค่ออกตัว ก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจแล้วครับ กับอัตราเร่งที่บอกได้เลยว่าเหนือว่าที่คิดไว้มากทีเดียว พุ่งปรู๊ดออกจากตำแหน่งไปอย่างรวดเร็ว
เครื่องยนต์ 1.2 ลิตรทำงานได้ดีเกินตัวแล้วครับในสัมผัสแรกของผม การออกตัวดีมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องตามหลังรถที่มีเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า หากเป็นการใช้งานในเมือง ติดตามไฟแดง แล้วออกตัว ไม่เป็นรองใครแน่นอน
อัตราการเร่งเมื่อถนนโล่งๆ ก็ทำได้ดีทีเดียว พุ่งจี๊ดจาดเกินตัวทีเดียว อัตราเร่งในความเร็วปานกลางตั้งแต่ระดับ 60 กิโลเมตรต่อชั่มโมงไปจนถึง 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไว้ใจได้เลยครับ แต่หากความเร็วมากกว่านี้ ก็ต้องรอรอบเครื่องยนต์สักนิด 
 เกียร์อัตโนมัติซีวีที ทำงานได้ราบเรียบมาก การปรับเปลี่ยนเกียร์ค่อนข้างนุ่มนวลทีเดียว ถือว่าฮอนด้าพัฒนาเกียร์ซีวีที ตัวนี้ได้สมบูรณ์แบบมากๆ ขับสบายเลยครับ
การขับขี่ในเมืองผ่านแบบต้องปรบมือให้ และเมื่อขับขึ้นเขา อย่างเส้นทางขึ้นดอยตุงที่ชันไม่ใช่เล่น ก็ต้องประทับใจในแรงบิดของ บริโอ้ อีกครั้ง เพราะสามารถอัดขึ้นเขาได้แบบหายห่วง
สำหรับทางที่ชันมาๆ ปรับเกียร์ลงมาที่เกียร์ 2 ก็เหลือเฟือที่จะไต่เขาชันๆ ได้แบบชิล ชิล แถมยังแซงรถข้างหน้าที่ใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตรได้อีกด้วย
เครื่องยนต์บล็อกนี้ของฮอนด้า บรีโอ้ นี้เยี่ยมครับทั้งในเรื่องอัตราเร่งและความประหยัด
หากขับแบบเรื่อยๆ จะเห็นไฟที่หนาปัดคำว่า ECO สีเขียวแสดงขึ้นมาแปลว่ากำลังอยู่ในโหมดการขับขี่แบบประหยัด ซึ่งผมพบว่าหากขับที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,500 รอบต่อนาที ไฟ ECO จะขึ้นโชว์ตลอด แต่หากกดคันเร่งแล้วรอบเครื่องยนต์เกิน 2,500 รอบต่อนาที ไฟก็จะดับไป ก็ถือว่าดีครับ จะได้ช่วยเตือนให้เราขับกันแบบประหยัด
ซึ่งผมขับที่ความเร็ว 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไฟ ECO นี้ก็ยังขึ้นอยู่ถือว่าผ่านแล้วครับ และเมื่อขับความเร็วนิ่งๆ ที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลองมองอัตราสิ้นเปลืองที่จอประมวลผลปรากฏว่าอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 19.6 กิโลเมตรต่อลิตร!!
แต่หากลองอัดหนักๆ ความเร็วไปที่ 140 กิโลเมตรนิดๆ ความเร็วจะถูกล็อกไว้ครับ ไม่ให้ไปเร็วกว่านี้แล้วครับ อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 13.8 กิโลเมตรต่อลิตร
ความเร็วสูงสุดของ บริโอ้ ถูกล็อกไว้ที่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าพอเพียงแล้วครับ กับรถขนาดเล็กอย่างนี้ หากเร็วมากกว่านี้ น่ากลัวแล้วครับ
ช่วงล่างไว้ใจได้ เอาอยู่แน่นอน กับการใช้งานแบบปกติ และด้วยความเร็วที่ค่อนข้างสูง
แต่สิ่งที่ต้องรอพิสูจน์อีกอย่าง คือ ฮอนด้า บริโอ้ ไม่มีใบปัดน้ำฝนหลัง และไล่ฝ้ากระจกหลัง ซึ่งผมกังวลในเรื่องนี้มากว่าจะส่งผลต่อการขับขี่ เพราะด้วยความเป็นรถ 5 ประตู กระจกหลังจะเต็มไปด้วยละอองน้ำ และฝุ่นอยู่แล้ว แต่ทางทีมงานฮอนด้า บอกว่า ได้ออกแบบฮอนด้า บริโอ้ อย่างดีไม่มีปัญหานี้แน่
ส่วนเรื่องระบบไล่ฝ้าหลังนั้น เห็นว่าตามปกติ ผู้ขับขี่ทักไม่ได้ใช้ระบบนี้ก็เลยไม่ได้ติดมา ฟังแล้วก็เซ็งๆ ไปเหมือนกัน กับการลดต้นทุนในส่วนที่ไม่ควรลด เรื่องนี้ต้องขอพิสูจน์ อีกครั้ง
จะว่าไปก็ติได้แค่นี่ละครับ นอกนั้นต้องยกนิ้วให้ บอกไว้เลยว่า แม้ว่าจะต้องรอรถนานกว่า 6 เดือน แต่ก็คุ้มค่าที่จะรอครับ 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น