วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

ลองฟอร์จูนเนอร์ใหม่ปรับช่วงล่างนุ่มมากขึ้น

ฟอร์จูนเนอร์ใหม่ไม่มีแล้วซึ่งความดิบ ไม่ใช่เจ้าชายในป่าดงดิบ แต่กลายเป็นเจ้าชายในเมืองไปเสียแล้ว
โดย...นิธิ ท้วมประถม
ต้องยอมรับว่าโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์นั้น เป็นรถกระบะดัดแปลงที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดประเทศไทย รวมถึงตลาดต่างประเทศอีกด้วย
และเป็นรถกระบะดัดแปลงคันแรกๆ ที่เปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าให้หันมาใช้รถยนต์ในประเภทนี้มากขึ้น ด้วยรูปร่างหน้าตาที่แสนจะเท่ ใช้ได้ทั้งแบบสมบุกสมบันและแบบหรูหรา เรียกว่าเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ตัวจริงเสียงจริงคันหนึ่งก็ว่าได้
แต่ปัญหาของฟอร์จูนเนอร์ คือ ระบบช่วงล่างของรุ่นแรกๆ ที่ยังคงความเป็น “กระบะ” อยู่อย่างเหนียวแน่น คือ กระเด้ง กระดอน ไม่เหมาะสำหรับนั่งโดยสาร แต่เหมาะสำหรับบรรทุกเป็นหลัก
ทำให้ฟอร์จูนเนอร์รุ่นหลังๆ เริ่มพัฒนาช่วงล่างให้นุ่มนวลมากขึ้น เพื่อให้เข้าใกล้กับความเป็นรถบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อฟอร์จูนเนอร์ไปใช้งาน ส่วนใหญ่จะซื้อไปเป็นรถยนต์นั่งเกือบทั้งนั้น
เมื่อความต้องการของลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการช่วงล่างที่นุ่มนวล ทำให้ฟอร์จูนเนอร์รุ่นล่าสุดที่พัฒนาขึ้นมาจากกระบะโตโยต้าวีโก้ แชมป์ ก็ตอบสนองความต้องการความเป็นรถบ้านอย่างเต็มที่ แบบไม่ต้องเหนียมอายกันอีกต่อไปแล้ว
ผมมีโอกาสขับฟอร์จูนเนอร์ใหม่ในเส้นทางภาคใต้ระยะทางประมาณ 100 กว่ากิโลเมตร ซึ่งก็เพียงพอที่จะรู้อะไรของฟอร์จูนเนอร์ใหม่นี้บ้างเหมือนกัน
โดยรุ่นที่ได้ลองขับนั้นเป็นรุ่น 3.0V ขับเคลื่อน 2 ล้อ แบบยกสูง ไม่ใช่รุ่นท็อปที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมชอบรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ แบบยกสูงนี้อยู่แล้วครับ เพราะถือว่าเพียงพอใช้งานอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้เปลืองทั้งค่าตัวรถที่เพิ่มขึ้น และอัตราการสิ้นเปลืองที่สูงขึ้นไปด้วย
ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลังนั้น พอแล้วสำหรับการใช้งานแบบทั่วไปครับ ไปได้ทุกที่ที่เราต้องการอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะขับไปไม่ไหว น้ำท่วมก็สบาย ทางเละก็พอไหว ถ้าไม่ลุยป่าละก็ ทั่วไทยไปไหนก็ได้
รูปร่างหน้าตาของฟอร์จูนเนอร์ 3.0V นั้นก็เหมือนกับรุ่นอื่นครับ หน้าตาของฟอร์จูนเนอร์ใหม่นี้ ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบ ไม่ดุดันเหมือนรุ่นเก่า ก็แล้วแต่ชอบครับ แต่ไฟหน้าแหล่มครับ เพราะเป็นไฟหน้าแบบ HID พร้อมระบบปรับระดับแสงสูง-อัตโนมัติ เพื่อไม่ให้ไปรบกวนรถคันหน้า
มีระบบทำความสะอาดไฟหน้าแบบรถหรูๆ เหมือนกัน ช่องดักลมขนาดใหญ่ขึ้นทำให้ดูเข้มขึ้นมานิดหน่อย กระจกมองข้างรุ่นนี้มีไฟเลี้ยวติดมาให้ด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยเวลาเลี้ยว แต่เวลากระจกมองข้างถูกเฉี่ยวก็จ่ายแพงขึ้นเหมือนกัน
ไฟท้าย โคมไฟท้ายแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ใหม่นั้น ที่แม้ว่าโคมไฟจะเป็นเลนส์แก้วใสที่เห็นไฟเบรกด้านในให้ดูทันสมัย แต่ผมกลับไม่ชอบขอบเส้นโครเมียมรอบๆ กรอบไฟท้าย เพราะดูแล้วเหมือนรถแต่งตามต่างจังหวัดยังไงไม่รู้
เอาเป็นว่ารูปโฉมด้านนอกก็ต้องแล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลแล้วกันครับ ซึ่งถ้าเป็นผมภาพรวมถือว่าโอเคใช้ได้
มาภายในกันดีกว่าครับ เพราะผมว่าโตโยต้า “จัดเต็ม” มากกับออปชันภายในของฟอร์จูนเนอร์ใหม่รุ่นนี้ และน่าจะเหนือกว่าคู่แข่งไม่น้อยทีเดียว
ผมจะขอข้ามพวกมาตรวัดต่างๆ ไปเลยนะครับ เพราะเหมือนกับรุ่นเก่า แต่ขอพูดถึงออปชันใหม่ๆ ดีกว่า เริ่มตั้งแต่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ซึ่งรุ่นเดิมก็มีอยู่แล้ว แต่ฟังก์ชันบนพวงมาลัยที่เพิ่มขึ้นมา คือ ปุ่มรับโทรศัพท์ ทำให้รู้ว่าเครื่องเสียงฟอร์จูนเนอร์รุ่นนี้มีระบบบลูทูธเชื่อมต่อกับ โทรศัพท์เสียด้วย
มองไปที่คอนโซลกลางก็เห็นจอมอนิเตอร์แบบสัมผัสขนาดเบ้อเริ่มเทิ่มขนาด 6.1 นิ้ว ที่สามารถเป็นทั้งวิทยุ จอดีวีดี แถมยังเป็นกล้องมองหลังเวลาถอยรถได้อีกด้วย และยังมีช่อง AUX และช่องเสียบ Thumb Drive ที่สามารถเสียบ iPod ได้ด้วย
เรียกได้ว่าตอนนี้ฟอร์จูนเนอร์ใหม่รุ่นที่ผมขับนั้นมีระบบให้ความบันเทิงที่สมบูรณ์มากที่สุดคันหนึ่ง
หันไปที่เบาะหลังในแถวที่ 2 ก็ใหญ่โตพอเพียงกับผู้โดยสาร 3 คน แบบเบียดนิดๆ ส่วนที่นั่งแถวที่ 3 มีอยู่ 2 ที่นั่ง ก็พอนั่งสบายครับ แต่ถ้านั่งโดยสารนานๆ ก็เมื่อยเอาการเหมือนกัน
มีช่องแอร์แถวที่ 2 สำหรับผู้โดยสารตอนหลังด้วย แจ่มๆ
แต่ที่ผมยังติดใจ คือ เบาะนั่งแถวที่ 3 นั้น ทางโตโยต้ายังไม่สามารถจัดการเรื่องการพับเบาะให้แบนไปกับพื้นที่เก็บ สัมภาระด้านหลังได้ ยังคงต้องใช้พับแล้วแขวนไว้ด้านข้างๆ ตัวรถอยู่เหมือนเดิม ทำให้เสียพื้นที่ใช้สอยในส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระพอควร
มาทางเครื่องยนต์กันบ้าง เครื่องยนต์ฟอร์จูนเนอร์ใหม่นี้เป็นเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล “Diamond Tech” ที่โตโยต้าบอกว่าเจ้าเทคโนโลยี “Diamond Tech” นั้น ช่วยให้การฉีดจ่ายน้ำมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราการสิ้นเปลืองดีขึ้น และปล่อยไอเสียน้อยลง
เมื่อเริ่มลองกดคันเร่งแล้ว ผมก็ยังให้เครดิตกับเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ไดเรกต์อินเจกชัน ขนาด 3000 ซีซี VN เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ตัวนี้จริงๆ เพราะตอบสนองการขับขี่ได้ดีมากครับ
แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดสูงสุด 343 นิวตัน/เมตร ที่ 1,400-3,200 รอบ/นาที ทำให้การขับขี่ทั้งความเร็วต่ำและความเร็วสูงทำได้สบายใจใช้ได้
ต้องปรบมือให้ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระ ดับเบิลวิชโบนพร้อม คอยล์สปริง ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบโฟร์ลิงก์พร้อมคอยล์สปริง ทำหน้าที่เรื่องความนุ่มนวลได้ดี
ทั้งหมดจึงติดอยู่เพียงว่า ฟอร์จูนเนอร์ใหม่ไม่มีแล้วซึ่งความดิบ ไม่ใช่เจ้าชายในป่าดงดิบ แต่กลายเป็นเจ้าชายในเมืองไปเสียแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น