วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทดลองขับ CHEVROLET NEW CAPTIVA (ตอนที่1)

Pic_187516
รีวิวตอนแรกกับรูปทรงภายนอก ภายใน เครื่องยนต์ ช่วงล่าง ระบบส่งกำลัง ระบบความปลอดภัย ของรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ SUV ที่กำลังฮ็อตสุดๆ ในตลาดรถใหม่ของประเทศไทยช่วงเวลานี้ และนี่คือ Chevrolet Captiva Minor Change Model 2012...

รถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อของ Chevrolet ขึ้นชื่อในเรื่องของความแข็งแกร่งทนทาน โดยมีแนวคิดในการออกแบบรูปลักษณ์และพละกำลังที่สอดคล้องกันบนระบบขับเคลื่อน ทุกล้อ รถรุ่น Captiva เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเมื่อ 4-5 ปีก่อน ด้วยรูปทรงที่ติดยึดกับแนวทางการออกแบบจากทวีปยุโรปมากกว่าสหรัฐอเมริกาบ้าน เกิด มันคือความอเนกประสงค์ที่ปนเปไปกับความหรูหราได้อย่างลงตัว และในเมื่อโมเดลแรกที่ออกขายทำตลาดได้ดี รถรุ่นไมเนอร์เชนจ์จึงตามติดออกมาเพื่อช่วยเสริมช่องว่างให้กับกลุ่มบุคคล ที่ต้องการพาหนะหลากหลายประสิทธิภาพ รถ Chevrolet Captiva Minor Change Model 2012 ถูกเปิดตัวไปเมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายน ด้วยความสดใหม่ของขุมพลังและระบบส่งกำลังที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
ภาพลักษณ์ของกระจังหน้าแบบสองชั้นหรือ ดูอัลพอร์ท (Dual Port-Grille) ขนาดใหญ่ เดินเส้นด้วยกรอบโครเมียมล้อมกรอบตราสัญลักษณ์ "โบร์ไท" ที่ียืนยงมานานกว่า 100 ปีแล้ว รูปทรงด้านหน้าของ Captiva Minor Change ทั้งรุ่น LT และ LTZ ยังคงมุ่งเน้นไปที่ความแข็งแกร่งของเส้นสายรอบคัน กรอบไฟหน้าแบบใหม่ ใช้ไฟโปรเจคเตอร์ Automatic Headlamp ทำงานได้ด้วยโหมดอัตโนมัติ เมื่อเซนเซอร์ตรวจพบว่าแสงจากภายนอกไม่สว่างเพียงพอต่อการขับขี่ ระบบจะสั่งการให้เปิดไฟหน้าขึ้นแบบอัตโนมัติ โดยชุดไฟหน้าใหม่นี้ สามารถปรับทิศทางการส่องสว่างได้ถึง 4 ทิศทาง แถมด้วยระบบหน่วงเวลาปิดไฟหน้าหรือ Automatic Parking Lamp ไฟหน้าจะยังคงติดอยู่อีก 30 วินาที หลังจากจอดรถ ทรงด้านหน้าของมันมีเส้นเหลี่ยมสันช่วยเน้นบรรยากาศของการเป็นรถลุยได้ดี ชายล่างของชุดกระจังหน้ามีแผ่นกันกระแทกกับไฟตัดหมอกทรงกลมติดตั้งมาให้จาก โรงงาน เข้ากันได้ดีกับชุดไฟหน้าและตะแกรงพลาสติกสีดำแบบรังผึ้งของกระจังหน้า
มุมมองด้านข้างมีแนวสันหลังคาที่โค้งมนไปจนถึงเสา C ยาวต่อเนื่องไปจนจรดไฟท้าย ด้านข้างของ New Captiva มีซุ้มโป่งของบังโคลนที่ถูกดึงออกให้ดูใหญ่โตขึ้น สอดรับกับล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วลายห้าก้านในรุ่นสูงสุด (LTZ) กระจกมองข้างมีเลนส์ไฟเลี้ยวสีขาวใช้หลอด LED ตัวกระจกมองข้างสามารถพับเก็บได้ด้วยการกดสวิตช์ควบคุมภายในห้องโดยสาร ด้านบนของแนวสันหลังคายังมีชิ้นงานโลหะสำหรับยึดติดกับแล็คหลังคาเพื่อการขน สัมภาระ บานประตูมีกรอบกันกระแทกบริเวณชายล่าง กระจกบานข้างขนาดใหญ่ยังช่วยเพิ่มเติมมุมมองเมื่อขับขี่ ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ห่อรัดด้วยยาง Hankook ไซล์ 235/50/R19 เป็นยางไซส์ยักษ์กึ่งทางเรียบบวกออฟโรด ใหญ่โตกว่าล้อของโมเดลแรกแบบเห็นๆ

ด้านหลังเปลี่ยนเพียงแค่ไฟท้ายที่ปรับมาใช้เลนส์พลาสติกสีแดง แทนที่ของเดิมที่ใช้สีขาว สปอยเลอร์หลังสีเดียวกับตัวถังมีไฟเบรคดวงที่สามกับบานประตูหลังที่เปิดออก แบบแยกส่วนได้ ทั้งตัวบานกระจกและฝาท้าย กระจกบานหลังมีใบปัดน้ำฝนติดตั้งมาให้จากโรงงาน ซึ่งจะทำงานแบบอัตโนมัติทันทีที่ผู้ขับขี่ใส่เกียร์ถอยหลัง ชายล่างของสปอยเลอร์หลังยังมีแผงโครเมียมปิดทับแนวของท่อไอเสียคู่อย่าง สวยงามลงตัวคล้ายรถลุยระดับพรีเมียมจากฝั่งยุโรป พร้อมด้วยสัญญาณเซนเซอร์ถอยหลังอีกสามตำแหน่ง ขอบโครเมียมขนาดใหญ่คาดกลางตำแหน่งของการเปิด-ปิดฝาท้าย รูปลักษณ์ด้านบั้นท้ายของตัวไมเนอร์เชนจ์ถูกปรับแก้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากของเดิมดูลงตัวและมีความสมมาตรกับรูปทรงโดยรวมอยู่แล้ว
ภายในห้องโดยสารมีบรรยากาศของความหรูหราแผงอยู่ในภาพลักษณ์ของความแข็ง กระด้างในบางชิ้นงาน โดยภาพรวมแล้วห้องโดยสารของ New Captiva มีพื้นที่พอเพียงในการนั่งเดินทางไกลแบบสบายๆ คอนโซลด้านหน้ามีการใช้แนวคิดที่สื่อให้เห็นถึงความลื่นไหลของการออกแบบ โดยใช้สีดำและเงินในชุดแดชบอร์ดที่เข้ากันกับสีเบจของตัวเบาะเพื่อเน้นความ โปร่งโล่ง ภายในของเจ้า Captiva ยังทำออกมาให้ผู้ซื้อสามารถเลือกโทนสีได้ เบาะที่นั่งของคนขับปรับระดับได้ 8 ทิศทาง ด้วยชุดมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก เบาะที่นั่งยังถูกแบ่งออกเป็นแบบ 5+2 ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามต้องการ แถวที่นั่งที่ 2และ 3 ถูกออกแบบให้พับเก็บราบไปกับพื้น เพิ่มพื้นที่ในการขนสัมภาระ ระบบแอร์ตอนหลังมีชุดปรับความเย็นได้ 3 ระดับ
วงพวงมาลัยแบบ 4 ก้าน มีสวิตช์มัลติฟังก์ชั่นมาให้ใช้งานในระบบควบคุมเสียง ระบบปรับอากาศและระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติหรือ Cruise Control มาตรวัดทรงกลม 2 วง ของหน้าปัดทำออกมาได้สวยงามโดยเฉพาะการใช้งานในตอนกลางคืน ที่สามารถอ่านค่าได้อย่างง่ายดายด้วยชุดไฟหน้าปัดแบบ Optritron ซึ่งจะให้แสงโทนสีน้ำเงินสบายตายามค่ำคืน มาตรวัดความเร็วมีตัวเลขมาให้ถึง 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนมาตรวัดรอบเครื่องยนต์มีตัวเลขที่ 8,000 รอบต่อนาที พร้อมด้วยหน้าปัดเล็กๆตรงกึ่งกลางที่คอยแจ้งอุณหภูมิของเครื่องยนต์และระดับ น้ำมันเชื้อเพลิง ที่วางแก้วตรงกึ่งกลางระหว่างที่นั่งของผู้โดยสารตอนหน้า พนักวางแขนพร้อมกล่องเก็บของ ช่องเก็บของระหว่างเบาะคู่หน้าพร้อมช่องเชื่อมต่ออุปกรณ์เล่นเพลงภายนอกแบบ USB
ชุดคอนโซลกลางเป็นที่อยู่ของระบบจอแบบสัมผัส Touch Screen ขนาด 7 นิ้ว พร้อมด้วยระบบ Multimedia System Mode สามารถดูหนัง-ฟังเพลงจากแผ่น SD Card รองรับไฟล์ MP4 ระบบ Driving Mode แสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิตอล บอกอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ความเร็วเฉลี่ย ระยะเวลาในการขับขี่ ระยะทางที่วิ่งได้จากน้ำมันในถังที่เหลือและอุณหภูมิภายนอกห้องโดยสาร กับเข็มทิศระบบดิจิตอล โหมดนำทางและกำหนดตำแหน่งด้วยดาวเทียมสั่งการ ด้วยการสัมผัสที่บริเวณหน้าจอ พร้อมการแสดงแผนที่แบบ 3 มิติ ชุดเครื่องเสียงภายในห้องโดยสารยังใช้ระบบ 3 Dimensional Sound Staging ซึ่งเป็นระบบที่ได้รับการพัฒนามาจากประเทศฝรั่งเศส มีระบบประมวลผลแบบ Microprocessor ช่วยปรับความถี่ของคลื่นเสียงให้มีมิติ มีความละเอียด คมชัดและสมจริง สามารถฟังเพลงจากภาคเครื่องรับวิทยุ AM/FM เล่นแผ่น MP3 หรือเล่นเพลงจากช่องเสียบ WMA เครื่องเสียงของ New Captiva ยังช่วยปรับ Sound Stage ให้อยู่ในระดับหูของทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร จัดการกับทิศทางของเสียงให้ตกอยู่ในตำแหน่งเซนเตอร์ โดยสามารถแยกชิ้นดนตรีได้อย่างน่าแปลกใจ บริเวณใต้จอยังมีแผงควบคุมการขับขี่ที่สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับได้ถึง 3 ระดับคือ

- ระบบควบคุมเสถียรภาพของการทรงตัว
-ระบบควบคุมความเร็วของตัวรถในขณะที่วิ่งลงทางลาดชัน
-ระบบปรับอากาศตอนหลังของห้องโดยสารพร้อมจอบอกเวลาแบบดิจิตอล
ระบบส่งกำลังของ New Captiva ใช้เกียร์อัตโนมัติแบบเฟือง 6 สปีด ที่มีโหมดการทำงานร่วมกันกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อหรือ 2 ล้อหน้า ใช้คันเกียร์แบบ Driver Shift Control (DSC) โดยเพิ่มความสะดวกให้ผู้ขับขี่ที่สามารถเข้าเกียร์เองหรือจะให้สมองกลเกียร์ ทำงานปรับเปลี่ยนอัตราทดไปตามระดับความเร็วรถ ความเร็วรอบและแรงบิดของเครื่องยนต์ในอัตราส่วนที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยน เกียร์ทุกครั้ง ส่วนระบบขับเคลื่อนมีให้เลือกใช้งานทั้งแบบขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หน้าหรือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาแบบ AWD -All Wheel Drive พร้อมชุดเสริมแรงบิด Active Torque On Demand ช่วยเสริมพละกำลังให้กับระบบขับเคลื่อนทุกล้อแบบ AWD ด้วยการใช้ชุดคลัตช์แม่เหล็กไฟฟ้ากับคลัตช์แบบเปียกซึ่งจะทำหน้าที่ส่งกำลัง สู่ระบบเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า เพื่อการกระจายแรงบิดที่สมดุลสำหรับเพลาหน้าและหลัง เพื่อสร้างความสมดุลและเสริมกำลังให้กับสภาพเส้นทางที่มีความแตกต่างกัน
ระบบรักษาความปลอดภัยของตัวรถประกอบไปด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ม่านถุงลมนิรภัยบริเวณด้านข้างเพื่อป้องกันศีรษะของผุ้ขับขี่และผู้โดยสาร หากเกิดอุบัติเหตุ ระบบดิสเบรคแบบ 4 ล้อ มีครีบระบายความร้อนที่เบรคคู่หน้า พร้อมด้วยระบบป้องกันล้อล็อกหรือ ABS ระบบเสริมแรงเบรคไฮดรอลิค HBA ระบบกระจายแรงเบรคแบบอัตโนมัติ EBD ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control ระบบควบคุมเสถียรภาพของการทรงตัว ESP ชุดเบรคมือไฟฟ้าและระบบป้องกันการพลิกคว่ำ ARP
ระบบรองรับหรือกันสะเทือนของรถ Chevrolet New Captiva ด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท โช๊คอัพแก๊ส คอยสปริง เหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระมัลติลิงก์ยึด 4จุด ที่พัฒนามาเพื่อเพิ่มเติมสมรรถนะของการขับขี่ให้ดีขึ้นกว่ารถรุ่นแรก ปรับแก้เหล็กกันโคลงให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ปรับตั้งค่าโช๊คอัพและสปริงใหม่หมด รวมถึงการติดตั้งลิงก์ไฮดรอลิคที่ช่วงล่างด้านหลังเพื่อลดแรงสั่นสะเทือน ขยายแทรคของผิวสัมผัสหน้ายางกับพื้นถนนให้กว้างยิ่งขึ้นด้วยการใช้ล้อขนาด 19 นิ้วและยางขนาด 235/50/r19 สมรรถนะเพิ่มขึ้นจากรุ่นแรกด้วยระบบยกตัวอัตโนมัติหรือ Self Levelizer หนึ่งในเทคโนโลยี Self Balancing Integration ช่วงล่างหลังยกตัวอัตโนมัติเมื่อทำการบรรทุกสิ่งของ โช๊คอัพด้านหลังจะช่วยปรับระดับโดยการยกตัวให้สูงขึ้น เพื่อรักษาสมดุลที่ดีระหว่างล้อหน้าและหลัง ป้องกันอาการท้ายห้อยเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพด้านการทรงตัว
เครื่องยนต์ของ Chevrolet New Captiva เป็นเครื่องยนต์เบนซิน ECO-TEC 4 กระบอกสูบปริมาตรความจุ 2.4 ลิตร 16 วาล์ว ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาร์ป พร้อมด้วย Double CVC หรือระบบแคมชาร์ปแปรผันคู่แบบต่อเนื่อง สามารถปรับเปลี่ยนความยาวท่อไอดีและไอเสียแบบอัตโนมัติไปตามรอบเครื่องยนต์ ให้กำลังสูงสุด 168 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที มีแรงบิดสูงสุด 229 นิวตันเมตรที่ 4,600 รอบต่อนาที เครื่องยนต์แถวเรียง 4 กระบอกสูบรุ่นล่าสุดตัวนี้ มีระบบเชื้อเพลิงแบบ Flex Fuel E85 สามารถเติมเชื้อเพลิงแบบ E85 ได้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้เชื้อเพลิงได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเบนซินทั่วไป หรือแบบผสมเอธานอลที่เรียกเป็นตัวเลข เช่น E10-E20-E85 ซึ่งมีเอธานอลผสมอยู่ถึง 85% และใช้น้ำมันเบนซินเพียง 15% ในการผสม ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของเชื้อเพลิง แถมด้วยโหมดการขับขี่แบบประหยัดหรือ ECO Mode
ราคาจำหน่าย Chevrolet New Captiva Minor Change 2012
- Captiva 2.4L AT LS....................1,198,000 บาท
- Captiva 2.4L AT LSX.................1,282,000 บาท
- Captiva 2.4L AT LT....................1,507,000 บาท
- Captiva 2.4L AT LTZ.................1,580,000 บาท

ติดตามอ่าน ทดลองขับ Chevrolet New Captiva Minor Change 2012 ได้ในตอนต่อไป.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น