วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทดสอบเข้มกับ GOODYEAR TIRES

Pic_190760
หลังจากที่บริษัท Goodyear ผู้ผลิตยางรถยนต์และยางสำหรับอากาศยานชั้นนำของโลกได้ย้ายสำนักงานใหญ่จาก สหรัฐอเมริกาไปยังเมืองเซี่ยงไฮ้ ของสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนเมษายนปี ค.ศ. 2005 แล้วนั้น ค่ายยักษ์ใหญ่ของวงการยางรถยนต์เจ้านี้ก็ได้กลายเป็นผู้นำของบริษัทผู้ผลิต ยางเพียงแห่งเดียวในภูมิภาค และบริหารงานโดย มร ปิแอร์ อี โคฮาด ประธานบริษัทประจำภาคพื้นเอเซียแปซิฟิค มีพนักงานมากกว่า 8,400 คนทั่วภูมิภาค ในปีที่ผ่านมา (2010) Goodyear สาขานี้มีสถิติการเติบโตด้วยยอดขาย 2062 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 21% จากปี 2009 ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ชั้นนำแห่งนี้มีการดำเนินงานในภูมิภาคเอเซีย แปซิฟิคโดยมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ตลาดอุปกรณ์ทดแทนและตลาดอุปกรณ์ดั้งเดิม โดยได้ขยายสาขาที่ครอบคลุมไปถึงการออกแบบและผลิตยางสำหรับรถบรรทุกขนาดเล็ก รถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ ยางสำหรับรถออฟโร้ด ยางสำหรับรถสปอร์ตสมรรถนะสูง ยางรถบ้านทั่วไปและล้อสำหรับอากาศยานพาณิชย์



Goodyear มีโรงงานผลิต 7 แห่งในภูมิภาคเอเซียและแปซิฟิค ในประเทศจีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซียและประเทศไทย ในตลาดยางที่มีการเติบโตสูงในประเทศจีนและอินเดีย Goodyear ใช้กลยุทธเพื่อรองรับการบริโภคภายในประเทศรวมถึงการผลิตยางเพื่อป้อนการใช้ งานทั้งภายในและส่งออก ทำการลดต้นทุนการผลิตที่สูงด้วยการใช้นวัตกรรมใหม่ที่คิดค้นโดยวิศวกรของ บริษัท ขยายตัวสู่ประเทศที่มีต้นทุนในการผลิตต่ำ ในปี 2015 Goodyear ตั้งเป้าหมายว่าจะมุ่งส่งเสริมมูลค่าสินค้าด้วยการขยายและพัฒนาโรงงานให้ สามารถรองรับทั้งตลาดอุปกรณ์ดั้งเดิมและตลาดอุปกรณ์ทดแทน เมื่อเดือนมิถุนายนของปี ค.ศ. 2008 บริษัท Goodyear ได้ทำการสร้างโรงงานผลิตยางที่ทันสมัย ใช้กระบวนการผลิตภายในโรงงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในเมืองปูหลานเดี่ยน ประเทศจีน ใช้มูลค่าการลงทุนประมาณ 700 ล้านเหรียญ ซึ่งภายในปี 2015 โรงงานแห่งนี้จะช่วยรองรับการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศจีน ที่ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านตัวเลขของผู้ใช้รถยนต์ โรงงานแห่งใหม่นี้ยังช่วยให้ Goodyear สามารถย้ายฐานการผลิตทั้งหมดจากโรงงานที่กำลังดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันที่ ตำบลชาเหอเค่า เมืองต้าเลี่ยน ไปยังโรงงานแห่งใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่า ทันสมัยมากกว่าและช่วยรักษาสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า การย้ายฐานการผลิตทั้งหมดจากเมืองต้าเลี่ยนไปยังปูหลานมีกำหนดเสร็จสิ้นในปี 2012 และกำลังการผลิตจะเริ่มต้นขึ้นภายในปี 2013 นี้








วันอังคารที่ 26 และวันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2554 บริษัท Goodyear นำโดยกลุ่มผู้บริหาร Mr. Richard J Fleming เชิญสื่อมวลชนสายยานยนต์ร่วมทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ยางรุ่นใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยยางซิ่งสมรรถนะสูงรุ่น Eagle F1 Directional 5 และยางสำหรับรถยนต์นั่งรุ่น Eagle F1 Asymmetic 2 บนตัวรถสปอร์ต Audi TT-S / BMW Series 3 E90 / Mitsubishi Lancer EX-GT / Porsche Cayman S / Maserati 3200 GT โดยยกทีมทดสอบทั้งหมดไปยังสนามแข่งรถในอำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เพื่อทดสอบสมรรถนะและประสิทธิภาพของยางรุ่นใหม่ทั้งสองรุ่น การทดสอบแบ่งออกเป็นสองช่วงซึ่งมีทั้งภาคเช้าที่ใช้การขับขี่ในสนามแข่งรถ แก่งกระจานบนตัวรถสปอร์ต กับภาคบ่ายที่ใช้การขับขี่ทดสอบบนเส้นทางจริงของถนนสองเลนในเขตอำเภอ แก่งกระจาน เพชรบุรี

ช่วงทดสอบพิเศษภาคเช้ากับยางรุ่น  Eagle F1 Directional 5 ของค่าย Goodyear บนตัวรถสปอร์ตซีดาน Mitsubishi Lancer EX-GT 2.0 ลิตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ทีมเจ้าหน้าที่ของ Goodyear วางรูปแบบสนามแก่งกระจานทางด้านทิศเหนือโดยใช้กรวยยางตั้งดักเพื่อลด ความเร็ว สนามแข่งรถแก่งกระจานทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสองโซน โซนแรกใช้ทำการทดสอบการวิ่งฝ่าสภาพพื้นถนนที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำกับการควบคุม ตัวรถโดยใช้การหักพวงมาลัยไปมาเพื่อทดสอบอัตราการยึดเกาะของยาง  Eagle F1 Directional 5 กับผิวแทรคในสภาวะต่างๆ ส่วนโซนที่สองใช้สนามด้านทิศเหนือทั้งหมดเพื่อวิ่งทดสอบในลักษณะของแทรคที่ ใช้แข่งขันรถยนต์ทางเรียบ ทีมสื่อมวลชนสายยานยนต์จากประเทศไทยได้ลงทำการทดสอบในโซนที่สองก่อน ส่วนโซนแรกเป็นหน้าที่ของผู้สื่อข่าวกับดีลเลอร์จากต่างประเทศที่จะลงทดสอบ สมรรถนะของยาง   Eagle F1 Directional 5





Goodyear   Eagle F1 Directional 5 มีส่วนผสมของเซริก้ากับโพลิเมอร์โมเลกุลสูง รวมถึงยางกับน้ำมันและส่วนประกอบทางเคมีซึ่งเกิดจากการคิดค้นพัฒนาของวิศวกร Goodyear โดยใช้เทคโนโลยี Sport Grip ใช้การออกแบบดอกยางส่วนกลาง ดอกยางบริเวณไหล่ยางให้มีรูปแบบที่ประสานการยึดเกาะรวมถึงการเบรคในทุกสภาวะ ลายดอกยางในรุ่น Eagle F1 Directional 5 ถูกดีไซน์ให้มีความต่อเนื่อง ช่วยทำให้การรีดน้ำอยู่ในระดับที่ดี ตัวยางยังมีเสียงที่เกิดจากการบดไปกับพื้นถนนลดลงจากการออกแบบให้ลดแรงต้าน กับผิวถนน เมื่อลองหักพวงมาลัยไปมาที่ความเร็วสูง ยางสูตรใหม่นี้ก็ยังแทบจะไม่มีเสียงดังลอดเข้ามาให้ได้ยิน ถึงแม้ตัวรถทดสอบจะเป็นรถ Mitsubishi Lancer EX-GT 2.0 ที่มีการเก็บเสียงด้อยกว่ารถยุโรปก็ตาม อัตราการยึดเกาะอยู่ในระดับที่ดี ส่งถ่ายแรงยึดเกาะได้สมบูรณ์แม้ในระดับความเร็วที่เพิ่มขึ้นก็ยังสามารถ ควบคุมรถทดสอบที่ใส่ยางรุ่นนี้ได้อย่างสบาย





ช่วงทดสอบที่สอง เป็นการทดสอบการวิ่งของยางรุ่น Eagle F1 Directional 5 บนตัวรถ Mitsubishi Lancer EX-GT 2.0 ท่ามกลางสภาพของแทรคที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ซึ่งเป็นการจำลองสภาพเส้นทางจากการใช้งานจริงที่ยางจะต้องเจอเมื่อพบกับ สภาวะฝนตกและมีน้ำปกคลุมผิวการจราจร อาการของการเหินน้ำแทบไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อยเมื่อต้องขับเข้าสู่ทางตรง ของสนามแข่งรถแก่งกระจานที่ถูกพ่นน้ำเอาไว้จนเจิ่งนอง การเบรคอย่างเต็มกำลังในสภาพผิวทางที่เปียกชื้นก็ยังทำตัวเลขระยะทางของการ เบรคได้ดีแทบไม่แตกต่างกับการเบรคในสภาวะปกติ ตัวรถยังคงมีอาการที่มั่นคงถึงแม้ระบบป้องกันล้อล็อค ABS กับระบบช่วยเสริมแรงเบรค EBD ของรถ Mitsubishi Lancer EX-GT 2.0 จะต้องทำงานอย่างหนักกับการขับขี่ทดสอบในครั้งนี้ก็ตาม งานวิศวกรรมโครงสร้างที่แข็งแกร่งของยาง รุ่น Eagle F1 Directional 5 จาก Goodyear ยังใช้แก้มยางที่เสริมด้วยเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์แทนการเสริมด้วยขดลวดแบบเก่า ทำให้การบิดตัวลดลงและส่งผลไปถึงการควบคุมที่ง่ายดายขึ้นต่อทุกสภาพเส้นทาง





หลังจากทดสอบการรีดน้ำและระยะทางในการเบรคกับผิวแทรคที่เปียกชุ่ม ผ่านไป สถานีทดสอบต่อไปทีมเจ้าหน้าที่ของ Goodyear ได้จัดตั้งกรวยยางบนรูปแบบการขับขี่ยิมคาน่า เพื่อทดสอบการบิดตัวของแก้มยางเมื่อต้องหักพวงมาลัยหลบกรวยยางที่ตั้งเรียง รายบนระยะทางกว่า 100 เมตร การทดสอบในช่วงนี้พบว่าพวงมาลัยของรถทดสอบ Mitsubishi Lancer EX-GT 2.0 ซึ่งใช้กลไกการบังคับเลี้ยวแบบไฟฟ้าให้ผลการขับขี่ที่ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร เนื่องจากระยะการหมุนอย่างเต็มกำลังของพวงมาลัยส่งผลไปยังระบบเพาเวอร์ที่ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำให้ต้องทำงานอย่างหนัก จนระบบไม่สามารถตอบสนองต่อความเร็วในขณะที่หักพวงมาลัย ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากกลไกของชุดเพาเวอร์ไฟฟ้าบนตัวรถ Lancer EX-GT 2.0 แต่สภาวะของการยึดเกาะรวมถึงการเบรคบนยางรุ่นใหม่ Eagle F1 Directional 5 ยังคงมีตัวเลขที่รับได้ หากสถานีทดสอบนี้ใช้รถ BMW Series 3 หรือ Audi TT ในการทดสอบ ผลลัพธ์ก็น่าจะมีตัวเลขที่ดีกว่านี้ เห็นได้ชัดจากสื่อมวลชนที่ร่วมลงทำการทดสอบใน Station นี้ที่มักจะชนกับกรวยยางท้ายๆกันแทบทุกคน จากสาเหตุของระบบพวงมาลัยในรถ Lancer EX-GT





ช่วงทดสอบยาง Eagle F1 Directional 5 ในภาคเช้าเสร็จสิ้นลงแล้ว ตามด้วยการถามตอบปัญหาระหว่างการขับขี่ทดสอบรวมถึงชี้ให้เห็นถึงขั้นตอนใน การพัฒนา ทดสอบประสิทธิภาพและประเมินผลในระหว่างการใช้งานของยางทั้งสองรุ่นจากวิศวกร ชาวออสเตรียของ Goodyear ซึ่งชี้ให้เห็นถึงเทคโนโลยี Sport Grip บนหน้ายางรุ่น Eagle F1 Directional 5 ด้วยการผสมผสานของเส้นดอกยางส่วนกลางที่หนาขึ้น ดอกยางด้านข้างที่ต่อเนื่องด้วยวัสดุโพลิเมอร์กับสารประกอบแบบเดียวกันกับ ที่ใช้งานในยางรถแข่ง การออกแบบไหล่ยางแบบปิดทำให้ลายดอกยางมีความลึกเพิ่มขึ้น ช่วยลดแรงต้านกับผิวถนนและส่งผลไปถึงเสียงรบกวนที่ลดลง ยืดอายุใช้งานได้นานถึง 70,000 กิโลเมตร จากการทดสอบอย่างหนักทั้งในห้องปฏิบัติการณ์พิเศษและในการทดสอบวิ่งใช้งาน จริงทั่วโลก ร่องดอกยางของรุ่น Eagle F1 Directional 5มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม ช่วยกระจายแรงบิดและเพิ่มผิวสัมผัสกับพื้นถนน ส่วนผสมของยางยังช่วยลดการสึกหรอซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนภายในศูนย์ทดสอบของ Goodyear ที่ประเทศลักเซมเบิร์ก ยาง Goodyear รุ่น Eagle F1 Directional 5 มีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 195/50/R15 ไปจนถึง 245/40/R19





ส่วนยางรุ่น Eagle F1 Asymmetic 2 ที่ออกแบบให้สามารถลดระยะทางของการเบรคบนถนนที่เปียกชื้น ซึ่งช่วยลดระยะทางได้ถึง 3 เมตรนั้น เกิดจากการมุ่งมั่นพัฒนายางสมรรถนะสูงสำหรับสภาพถนนที่ชุ่มนองไปด้วยน้ำหรือ มีน้ำขังอยู่ในผิวถนน เทคโนโลยี Active Braking ที่ออกแบบให้หน้ายางสามารถลดระยะทางเมื่อเบรคแบบเต็มกำลังลงได้ถึง 3 เมตรบนถนนที่เปียกชื้น และลดลงเหลือเพียง 2 เมตรบนสภาวะพื้นถนนแบบปกติเมื่อเปรียบเทียบกับยางคู่แข่ง (ตัวเลขดังกล่าวเกิดจากการทดสอบระหว่าง Eagle F1 Asymmetic 2 กับยางของคู่แข่งอีกสองยี่ห้อ ยางรุ่น Eagle F1 Asymmetic 2ยังได้รับการรับรองจากสถาบันการทดสอบอิสระ TUVSUD โดยทำการทดสอบในประเทศฝรั่งเศสและเยอรมันในเดือนธันวาคมปีคศ 2010 จากตัวเลขเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับยางยี่ห้ออื่น ระยะหยุดจากพื้นถนนเปียก จากความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลดลงเหลือ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะหยุุดรถบนสภาพถนนปกติจาก 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเหลือ 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วัดโดยสถาบันทดสอบยานยนต์ TUV SUD ในเดือนธันวาคมของปีที่แล้ว ยางขนาด 225/40/R19 รถยนต์ที่ใช้ทดสอบ Audi A7 สถานที่ที่ใช้ในการทดสอบ Mireval (ฝรั่งเศส) และ Garching (เยอรมัน) ผลการทดสอบอาจแปรผันไปตามวิธีการขับขี่หรือตามสภาพผิวถนน รวมทั้งตัวรถทดสอบและการดูแลยางที่ถูกวิธี





เทคโนโลยี Active Braking ระบบเบรค 3 มิติ เพิ่มการสัมผัสผิวหน้ายางกับพื้นถนนระหว่างการหยุด ในขณะที่ยางทั่วไปไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในระหว่างการหยุดรถ แต่วิศวกรของ Goodyear แจ้งว่า ยางรุ่น Eagle F1 Asymmetic 2 ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ สามารถขยายตัวให้เกิดผิวสัมผัสที่มากขึ้นในระหว่างการใช้ห้ามล้อ พื้นผิวของยางรุ่นนี้ที่ขยายตัวได้จะช่วยทำให้เกิดการยึดเกาะในระหว่างการ เบรคมากขึ้น ทำให้ระยะเบรคลดลงกว่าเดิมเมื่อเทียบกับยางทั่วไป Goodyear Eagle F1 Asymmetic 2 ใช้ชั้นยางและผ้าใบในแนวขวาง เสริมด้วยโครงสร้างแบบสองชั้น ออกแบบให้มีความโค้งถึง 86 องศา การบิดเป็นเกลียวนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับยาง ส่วนประกอบของดอกยางแบบใหม่ล่าสุดซึ่งใช้ส่วนผสมของเซริก้า ทำให้การยึดเกาะเพิ่มขึ้น รวมถึงน้ำหนักของยางทั้งเส้นในรุ่นนี้ยังลดลงอีกด้วย ยาง Goodyear Eagle F1 Asymmetic 2 มีขนาดให้เลือกมากมายจุใจตั้งแต่ขนาด 215/45/R17 ไปจนถึงขนาด225/35/R19 88Y.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น